แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ข่าว บทความจากข่าว แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ข่าว บทความจากข่าว แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ไม่อยากรวย ไม่ต้องอ่าน ! เปิด 8 ธุรกิจที่มีอนาคตที่สุดในปี"56

กลุ่มธุรกิจ SMEs ที่คาดว่าจะมีแนวโน้มการขยายตัวที่ดีในปี 2556 ได้แก่ 

(1) กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ เนื่องจากการขยายตัวของการผลิตรถยนต์ป้อนผู้สั่งจองในประเทศจากนโยบายรถคันแรก และตลาดในต่างประเทศเริ่มทยอยฟื้นตัว โดยคาดว่าในปี 2556 การส่งออกรถยนต์จะขยายตัวได้มากกว่า 20% ซึ่ง SMEs กลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ และ ผู้ให้บริการประดับยนต์ ก็จะได้รับประโยชน์ไปด้วย

(2) กลุ่มอุตสาหกรรมการเกษตรและพลังงานทดแทน เช่น ยางและผลิตภัณฑ์จากยางพารา มีแนวโน้มดีขึ้นจากเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัวและการร่วมมือเพื่อลดกำลังการผลิต จะทำให้ราคายางพาราดีขึ้น พลังงานทดแทนจากพืช เนื่องจากความผันผวนของราคาน้ำมันจากปัญหาสถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางและอาฟริกาเหนือ

(3) กลุ่มผลิตภัณฑ์และบริการไลฟ์สไตล์ ที่สอดคล้องกับความต้องการและพฤติกรรมการบริโภคของคนเมือง คนชั้นกลาง และคนรุ่นใหม่ เช่น ของขวัญของชำร่วย สินค้าแฟชั่น สินค้าเชิงศิลปวัฒนธรรม ซึ่งมี SMEs จำนวนมากดำเนินการอยู่

(4) ธุรกิจธุรกิจในกลุ่มก่อสร้าง จะมีมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้นในปี 2556 เป็นผลมาจากมาตรการลงทุนของภาครัฐตามกรอบแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และแผนลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และการขยายตัวของการก่อสร้างที่อยู่อาศัยและอาคารสำนักงานตามแนวรถไฟฟ้า ซึ่งมูลค่าการลงทุนน่าจะขยายตัวได้มากกว่า 10 % โดย SMEs เป็นผู้รับช่วงการผลิตจากผู้รับเหมารายใหญ่

(5) ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคม เป็นผลมาจากความคืบหน้าของการประมูล 3 จี จะทำให้มูลค่าตลาดบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เติบโตมากขึ้น รวมทั้งกลุ่มเคเบิ้ลและทีวีดาวเทียมที่คาดว่าจะมีปริมาณผู้รับชมในกลุ่มนี้เพิ่มขึ้น เพราะมีผู้ดำเนินการรายใหม่เข้ามาแข่งขัน ซึ่งมี SMEs หลายกลุ่มที่เกี่ยวข้อง เช่น กลุ่มที่พัฒนาแอพพลิเคชั่น กลุ่มผู้ผลิต digital content ผู้ผลิต computer graphic กลุ่มผู้ผลิตรายการบันเทิง เป็นต้น

(6) กลุ่มการผลิตและบริการเพื่อสุขภาพและความงาม เช่น อาหารเสริม สมุนไพร เครื่องสำอาง อุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ บริการด้านสุขภาพ บริการด้านความงาม เป็นต้น ซึ่งมี SMEs เป็นผู้ผลิตและผู้ให้บริการด้านนี้จำนวนมาก

(7) กลุ่มธุรกิจด้านการท่องเที่ยว ทั้งโรงแรมที่พัก ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก บริการรถรับจ้าง-รถเช่า เนื่องจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของตลาดนักท่องเที่ยวภายประเทศ และแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน เศรษฐกิจเอเชีย-อาเซี่ยน และบางประเทศในยุโรป

(8) กลุ่มธุรกิจด้านสันทนาการ เนื่องจากความต้องการบริการด้านนี้ขยายตัวมากขึ้น ประกอบการการมีลู่ทางขยายตลาดไปในเอเชียและอาเซียนมากขึ้น ธุรกิจกลุ่มนี้ เช่น ภาพยนตร์ ละคร ดนตรี กีฬา ข่าวสาร สารคดี รายการทีวีและเคเบิ้ลทีวี มีทั้ง SMEs ที่ดำเนินธุรกิจดังกล่าวเองและ SMEs ที่รับช่วงงานจากธุรกิจรายใหญ่


จาก สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)

ที่มา : matichon   


วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

นับถอยหลัง ! 1 มกราคม 56 ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา




มติชนออนไลน์ รายงานว่า ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. ๒๕๕๕

ประกาศระบุว่า อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓๕ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๒๒
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๑ อันเป็นพระราชบัญญัติ ที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายประกอบกับมาตรา ๓ มาตรา ๔ และมาตรา ๕ แห่งพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการกำหนดธุรกิจที่ควบคุมสัญญาและลักษณะของสัญญา พ.ศ. ๒๕๔๒ คณะกรรมการว่าด้วยสัญญาออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้


ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. ๒๕๔๓

ข้อ ๒ ให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา

ข้อ ๓ ในประกาศนี้

“ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์” หมายความว่า การประกอบกิจการค้า โดยเจ้าของนำเอารถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ของตนออกให้เช่า และให้คำมั่นว่าจะขายรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์หรือว่าจะให้รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์นั้นตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่า โดยมีเงื่อนไขที่ผู้เช่าได้ใช้เงินเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้คราว

“รถยนต์” หมายความว่า รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกินเจ็ดคน หรือรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกินเจ็ดคนแต่ไม่เกินสิบสองคน และรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลที่มีน้ำหนักรถไม่เกินหนึ่งพันหกร้อยกิโลกรัม ซึ่งมิได้ใช้ประกอบการขนส่งเพื่อสินจ้างตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก

“รถจักรยานยนต์” หมายความว่า รถที่เดินด้วยกำลังเครื่องยนต์ หรือกำลังไฟฟ้าและมีล้อไม่เกินสองล้อ ถ้ามีพ่วงข้างมีล้ออีกไม่เกินหนึ่งล้อ และให้หมายความรวมถึงรถจักรยานที่ติดเครื่องยนต์ด้วย

“รถใช้แล้ว” หมายความว่า รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ที่จดทะเบียนตามพระราชบัญญัติรถยนต์พ.ศ. ๒๕๒๒ แล้ว

ข้อ ๔ สัญญาเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ผู้ประกอบธุรกิจทำกับผู้บริโภค ต้องมีข้อความเป็นภาษาไทยที่สามารถเห็นและอ่านได้ชัดเจน มีขนาดตัวอักษรไม่เล็กกว่าสองมิลลิเมตร โดยมีจำนวนไม่เกินสิบเอ็ดตัวอักษรในหนึ่งนิ้ว และจะต้องใช้ข้อสัญญาที่มีสาระสำคัญและเงื่อนไข ดังต่อไปนี้

(๑) รายละเอียดเกี่ยวกับ

ก. ยี่ห้อ รุ่น หมายเลขเครื่องยนต์และหมายเลขตัวถัง สภาพของรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ว่าเป็นรถใหม่ หรือรถใช้แล้ว และระยะทางที่ได้ใช้แล้ว โดยให้มีหน่วยเป็นกิโลเมตรหรือไมล์รวมทั้งภาระผูกพันของรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ (ถ้ามี)

ข. ราคาเงินสด จำนวนเงินจอง จำนวนเงินดาวน์ ราคาเงินสดส่วนที่เหลือ อัตราดอกเบี้ยที่เช่าซื้อ จำนวนงวดที่ผ่อนชำระ จำนวนเงินค่าเช่าซื้อทั้งสิ้น จำนวนค่าเช่าซื้อที่ผ่อนชำระในแต่ละงวดจำนวนค่าภาษีมูลค่าเพิ่มที่ชำระในแต่ละงวด เริ่มชำระค่างวดแรกในวันที่ ชำระค่างวดต่อ ๆ ไปภายในวันที่

ค. วิธีคำนวณจำนวนเงินค่าเช่าซื้อ และจำนวนค่าเช่าซื้อ จำนวนดอกเบี้ยที่ชำระจำนวนค่าภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องชำระในแต่ละงวด

(๒) เมื่อผู้เช่าซื้อได้ชำระเงินค่าเช่าซื้อครบถ้วน รวมทั้งเงินจำนวนอื่นใด ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาแล้ว กรรมสิทธิ์ในรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ที่เช่าซื้อตกเป็นของผู้เช่าซื้อทันที และผู้ให้เช่าซื้อจะดำเนินการจดทะเบียนรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ดังกล่าวให้เป็นชื่อของผู้เช่าซื้อภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ผู้ให้เช่าซื้อได้รับเอกสารที่จำเป็นสำหรับการจดทะเบียนจากผู้เช่าซื้อครบถ้วน เว้นแต่เป็นกรณีที่มีเหตุขัดข้องที่ไม่สามารถทำการโอนทะเบียนได้โดยมิใช่เป็นความผิดของผู้ให้เช่าซื้อ


หากผู้ให้เช่าซื้อไม่ปฏิบัติ ผู้ให้เช่าซื้อยินยอมเสียเบี้ยปรับโดยคำนวณจากมูลค่าเช่าซื้อในอัตราเท่ากับอัตราเบี้ยปรับที่ผู้ให้เช่าซื้อกำหนดให้ผู้เช่าซื้อต้องชำระในกรณีผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ และถ้าผู้เช่าซื้อต้องดำเนินคดีทางศาลเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายหรือเบี้ยปรับ ผู้ให้เช่าซื้อจะรับภาระค่าธรรมเนียม ค่าทนายความ
ตามความเป็นจริง หรือค่าใช้จ่ายอื่นใดที่เกี่ยวข้องในการดำเนินคดีดังกล่าว


(๓) ในกรณีที่ผู้ให้เช่าซื้อได้ชำระเงินค่าธรรมเนียม ค่าภาษีอากร หรือค่าใช้จ่ายอื่นใดที่ผู้เช่าซื้อมีหน้าที่ชำระแทนผู้เช่าซื้อไปแล้ว ถ้าผู้ให้เช่าซื้อไม่เคยมีหนังสือแจ้งให้ผู้เช่าซื้อนำเงินดังกล่าวมาชำระภายในเวลาไม่น้อยกว่าเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง และผู้ให้เช่าซื้อประสงค์จะนำเงินค่างวดของผู้เช่าซื้อในงวดต่อมามาหักชำระเงินดังกล่าว ผู้ให้เช่าซื้อจะต้องมีหนังสือแจ้งให้ผู้เช่าซื้อทราบ เพื่อให้นำเงินจำนวนนั้นมาชำระ ถ้าผู้เช่าซื้อชำระเงินดังกล่าวภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง ผู้ให้เช่าซื้อจะถือว่าผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระเงินงวดนั้นไม่ได้

(๔) ผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้ ในกรณีผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อรายงวดสามงวดติด ๆ กัน และผู้ให้เช่าซื้อมีหนังสือบอกกล่าวผู้เช่าซื้อให้ใช้เงินรายงวดที่ค้างชำระนั้น ภายในเวลาอย่างน้อยสามสิบวันนับแต่วันที่ผู้เช่าซื้อได้รับหนังสือ และผู้เช่าซื้อละเลยเสียไม่ปฏิบัติตามหนังสือบอกกล่าวนั้น

(๕) เมื่อผู้ให้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อโดยแจ้งเป็นหนังสือไปยังผู้เช่าซื้อ และกลับเข้าครอบครองรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ที่ให้เช่าซื้อ เพื่อนำออกขายให้แก่บุคคลอื่น

ก. ก่อนขายให้แก่บุคคลอื่น ผู้ให้เช่าซื้อต้องแจ้งล่วงหน้าให้ผู้เช่าซื้อและผู้ค้ำประกัน(ถ้ามี) ทราบ เป็นหนังสือไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน เพื่อให้ผู้เช่าซื้อใช้สิทธิซื้อได้ตามมูลหนี้ส่วนที่ขาดอยู่ตามสัญญาเช่าซื้อ โดยผู้ให้เช่าซื้อจะต้องให้ส่วนลดแก่ผู้เช่าซื้อตามอัตราและการคิดคำนวณตาม (๑๐)

ข. ในกรณีที่ผู้ให้เช่าซื้อนำรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ออกขาย หากได้ราคาเกินกว่ามูลหนี้ส่วนที่ขาดอยู่ตามสัญญาเช่าซื้อ ผู้ให้เช่าซื้อจะคืนเงินส่วนที่เกินนั้นให้แก่ผู้เช่าซื้อ แต่หากได้ราคาน้อยกว่ามูลหนี้ส่วนที่ขาดอยู่ตามสัญญาเช่าซื้อ ผู้เช่าซื้อจะรับผิดส่วนที่ขาดนั้น เฉพาะกรณีการขายโดยวิธีประมูล หรือขายทอดตลาดที่เหมาะสม ทั้งนี้ ผู้ให้เช่าซื้อจะต้องมีหนังสือแจ้งชื่อผู้ทำการขาย วัน เวลา สถานที่ที่ทำการขาย ราคาที่ขายได้ และรายละเอียดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการขาย เพียงเท่าที่ได้ใช้จ่ายไปจริง โดยประหยัดตามความจำเป็นและมีเหตุผลอันสมควร (ถ้ามี) รวมทั้งจำนวนเงินส่วนเกินที่คืนให้แก่ผู้เช่าซื้อหรือจำนวนเงินที่ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดในส่วนที่ขาดอยู่ตามสัญญา ในกรณีการขายโดยวิธีประมูลหรือขายทอดตลาดที่เหมาะสมให้ผู้เช่าซื้อทราบภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ทำการขาย


ทั้งนี้ผู้เช่าซื้อจะไม่ได้รับส่วนลดตามอัตราและการคิดคำนวณตาม (๑๐)มูลหนี้ส่วนที่ขาดอยู่ตามสัญญาเช่าซื้อ ตาม ก. และ ข. ให้คำนวณจากเงินค่างวดที่ค้างชำระและเงินค่างวดที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระที่ผู้เช่าซื้อมีหน้าที่ต้องชำระให้กับผู้ให้เช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อและให้หมายความรวมถึง เงินค่าปรับ ค่าติดตามทวงถาม และค่าใช้จ่ายอื่นใด ทั้งนี้ เพียงเท่าที่ผู้ให้เช่าซื้อได้ใช้จ่ายไปจริง โดยประหยัด ตามความจำเป็นและมีเหตุผลอันสมควร


(๖) ผู้ให้เช่าซื้อได้จัดให้ผู้เช่าซื้อสามารถใช้สิทธิในการเรียกร้องให้มีการปฏิบัติตามเงื่อนไขการรับประกันของรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ที่เช่าซื้อจากผู้ขายหรือผู้ผลิตได้โดยตรง


(๗) ผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิได้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัย ในจำนวนหนี้ที่ยังคงค้างชำระตามสัญญาเช่าซื้อ โดยผู้ให้เช่าซื้อจะต้องให้ส่วนลดแก่ผู้เช่าซื้อตามอัตราและการคิดคำนวณ ตาม (๑๐)ส่วนที่เกินจากมูลหนี้ค้างชำระให้บริษัทประกันภัยจ่ายให้แก่ผู้เช่าซื้อ


(๘) ผู้เช่าซื้อจะต้องรับผิดชดใช้ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการทวงถาม การติดตามรถยนต์ หรือรถจักรยานยนต์ที่เช่าซื้อ ค่าทนายความและอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องด้วยการที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อหรือการกลับเข้าครอบครองรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ที่เช่าซื้อของผู้ให้เช่าซื้อ เนื่องจากมีการบอกเลิกสัญญาทั้งนี้ เพียงเท่าที่ผู้ให้เช่าซื้อได้ใช้จ่ายไปจริงเพื่อการดังกล่าว โดยประหยัด ตามความจำเป็นและมีเหตุผลอันสมควร

(๙) ผู้ให้เช่าซื้อจะส่งคำบอกกล่าวซึ่งตามกฎหมายหรือตามสัญญากำหนดให้ต้องทำเป็นหนังสือโดยการส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับให้แก่ผู้เช่าซื้อตามที่อยู่ที่ระบุในสัญญาหรือที่อยู่ที่ผู้เช่าซื้อแจ้งการเปลี่ยนแปลงเป็นหนังสือครั้งหลังสุด


(๑๐) กรณีที่ผู้เช่าซื้อมีความประสงค์จะขอชำระเงินค่าเช่าซื้อทั้งหมดในคราวเดียว โดยไม่ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อเป็นรายงวดตามสัญญาเช่าซื้อ เพื่อปิดบัญชีค่าเช่าซื้อ ผู้ให้เช่าซื้อจะต้องให้ส่วนลดแก่ผู้เช่าซื้อในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบของดอกเบี้ยเช่าซื้อที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระ โดยให้คิดคำนวณตามมาตรฐานการบัญชีว่าด้วย เรื่อง สัญญาเช่า ตามที่คณะกรรมการกำหนดมาตรฐานการบัญชีตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพบัญชีกำหนดและปรับปรุงมาตรฐานการบัญชี เพื่อใช้เป็นมาตรฐานในการจัดทำบัญชีตามกฎหมายว่าด้วยการบัญชีและกฎหมายอื่น

(๑๑) กรณีสัญญากำหนดให้ผู้เช่าซื้อต้องจัดหาผู้ค้ำประกันการเช่าซื้อ ผู้ให้เช่าซื้อตกลงกับผู้เช่าซื้อว่าจะจัดให้มีการทำสัญญาค้ำประกันซึ่งมีคำเตือนสำหรับผู้ค้ำประกันไว้หน้าสัญญาค้ำประกันนั้นโดยมีข้อความเป็นภาษาไทยที่สามารถเห็นและอ่านได้ชัดเจน มีหัวเรื่องว่า“คำเตือนสำหรับผู้ค้ำประกัน”ใช้อักษรตัวหนาขนาดไม่เล็กกว่าสี่มิลลิเมตร และอย่างน้อยต้องมีข้อความตามเอกสารแนบท้ายประกาศฉบับนี้โดยมีขนาดตัวอักษรไม่เล็กกว่าสองมิลลิเมตร และมีจำนวนไม่เกินสิบเอ็ดตัวอักษรในหนึ่งนิ้ว และกำหนดข้อสัญญาเกี่ยวกับความรับผิดของผู้ค้ำประกันในสัญญาค้ำประกัน มีสาระสำคัญตรงกับคำเตือนดังกล่าว

(๑๒) การผิดสัญญาเช่าซื้อเรื่องใด ที่ผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิเลิกสัญญาเช่าซื้อจะต้องเป็นข้อที่ ผู้ให้เช่าซื้อระบุไว้เป็นการเฉพาะด้วยตัวอักษรสีแดงหรือตัวดำหรือตัวเอน ที่เห็นเด่นชัดกว่าข้อความทั่วไป


(๑๓) กรณีผู้ให้เช่าซื้อมีความประสงค์จะนำเงินค่างวดของผู้เช่าซื้อมาหักชำระค่าเบี้ยปรับค่าใช้จ่ายในการทวงถาม ค่าติดตามรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ที่เช่าซื้อ ค่าทนายความและอื่น ๆที่เกี่ยวเนื่องด้วยการที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ หรือการกลับเข้าครอบครองรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ที่เช่าซื้อของผู้ให้เช่าซื้อ เนื่องจากมีการบอกเลิกสัญญา ผู้ให้เช่าซื้อจะต้องมีหนังสือแจ้งให้ผู้เช่าซื้อทราบเพื่อนำเงินจำนวนนั้นมาชำระ ถ้าผู้เช่าซื้อชำระเงินดังกล่าวภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง ผู้ให้เช่าซื้อจะถือว่าผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระเงินงวดนั้นไม่ได้


ข้อ ๕ ข้อสัญญาที่ผู้ประกอบธุรกิจทำกับผู้บริโภคต้องไม่ใช้ข้อสัญญาที่มีลักษณะหรือมีความหมายทำนองเดียวกัน ดังต่อไปนี้

(๑) ข้อสัญญาที่เป็นการผลักภาระให้ผู้เช่าซื้อเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียม ค่าภาษีอากรหรือค่าใช้จ่ายอื่นใด เกี่ยวกับรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ซึ่งเกิดขึ้นก่อนที่ผู้เช่าซื้อจะเข้าทำสัญญาซื้อรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ดังกล่าว

(๒) ในกรณีผู้ให้เช่าซื้อจะกำหนดให้ผู้เช่าซื้อต้องชำระเบี้ยปรับกรณีผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระ ค่าเช่าซื้อ
หรือเงินอื่นใด ผู้ให้เช่าซื้อจะกำหนดเบี้ยปรับเกินอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้าชั้นดีรายย่อย (MINIMUM
RETAIL RATE) ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) บวกสิบ (MRR + ๑๐) ต่อปี ของจำนวนเงิน
ที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระไม่ได้


(๓) ข้อสัญญาที่กำหนดให้ผู้ให้เช่าซื้อเรียกให้ผู้เช่าซื้อเปลี่ยนแปลงผู้ค้ำประกัน เว้นแต่เป็นกรณีที่ผู้ค้ำประกันถึงแก่ความตาย หรือศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด หรือเป็นบุคคลล้มละลาย หรือเป็นคนไร้ความสามารถ หรือเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ

(๔) ข้อสัญญาที่กำหนดให้ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดชำระค่าเช่าซื้อให้ครบถ้วนตามสัญญา ในกรณีรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ที่เช่าซื้อสูญหาย ถูกทำลาย ถูกยึด ถูกอายัด หรือถูกริบ โดยมิใช่ความผิดของผู้เช่าซื้อ เว้นแต่ค่าเสียหาย หรือเบี้ยปรับ หรือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการทวงถาม การติดตามรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ที่เช่าซื้อ ค่าทนายความหรือค่าอื่นใด เพียงเท่าที่ผู้ให้เช่าซื้อได้ใช้จ่ายไปจริง โดยประหยัดตามความจำเป็นและมีเหตุผลอันสมควร

(๕) ข้อสัญญาที่กำหนดให้ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดชำระเงินใด ๆ ในกรณีผู้ให้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ และกลับเข้าครอบครองรถยนต์ หรือรถจักรยานยนต์ที่เช่าซื้อ เว้นแต่ค่าเสียหายหรือเบี้ยปรับหรือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการทวงถาม การติดตามรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ที่เช่าซื้อ ค่าทนายความหรือค่าอื่นใด เพียงเท่าที่ผู้ให้เช่าซื้อได้ใช้จ่ายไปจริง โดยประหยัด ตามความจำเป็นและมีเหตุผลอันสมควร

(๖) ข้อสัญญาที่กำหนดให้ผู้เช่าซื้อรับการโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาเช่าซื้อหรือรับภาระผูกพันใด ๆ เพิ่มเติมจากสัญญาเช่าซื้อ โดยผู้เช่าซื้อมิได้ยินยอมเป็นหนังสือ

บทเฉพาะกาล

ข้อ ๖ บรรดาสัญญาเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ผู้ประกอบธุรกิจได้กระทำกับผู้บริโภคตามประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ.๒๕๔๓ ก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ให้คงใช้ได้ต่อไป

ประกาศฉบับนี้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นต้นไป

ประกาศ ณ วันที่ ๑๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๕
สำเรียง เมฆเกรียงไกร
ประธานกรรมการว่าด้วยสัญญา

ที่มา : http://www.matichon.co.th

วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2554

โจเซฟ สติกลิตซ์ : 9/11 กับราคาที่ต้องจ่าย

Fri, 2011-09-09 12:53
ในวาระครบรอบ 10 ปีเหตุการณ์วินาศกรรม 9/11 โจเซฟ อี. สติกลิตซ์ นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล เขียนบทความถึงการใช้จ่ายมโหฬารด้านการทหารของสหรัฐฯ ที่เป็นต้นเหตุส่วนหนึ่งของวิกฤติการเงิน ขณะเดียวกันทหารสหรัฐฯ ก็ไม่ได้รับการดูแลดีเท่าที่ควร ซ้ำยังทำให้สหรัฐฯ อ่อนแอลงเรื่องความมั่นคง
ในวันที่ 11 ก.ย. 2001 กลุ่มอัล เคด้า ได้ทำการก่อการร้ายโดยมุ่งเป้าหมายเพื่อทำลายสหรัฐฯ ซึ่งมันก็ได้ผล แต่เป็นผลที่ต่างจากที่โอซามา บิน ลาเดน จินตนาการไว้ การโต้ตอบกลับของจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ประธานาธิบดีในสมัยนั้นเพื่อรอมชอมกับหลักการของสหรัฐฯ ก็ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำ และความมั่นคงที่อ่อนแอลง
การตอบโต้เหตุการณ์ 9/11 ด้วยการโจมตีอัฟกานิสถานนั้นเป็นเรื่องเข้าใจได้ แต่การบุกอิรักหลังจากนั้นไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับอัล เคด้า เลย เท่าที่ฟังบุชพยายามจะโยงถึง แล้วสงครามพวกนี้ก็มีราคาแพงมาก ราคาเริ่มต้นเกินกว่า 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากการบิดเบือนโป้ปดมาเจอกับความเสื่อมสมรรถภาพอย่างมโหฬาร
เมื่อผมกับลินดา ไบล์ม คำนวนค่าใช้จ่ายทางการสงครามของสหรัฐฯ เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา ก็เห็นว่ามีงบบำรุงราว 3-5 แสนล้าน ดอลลาร์ เลยทีเดียว ตั้งแต่นั้นมาค่าใช้จ่ายก็ยิ่งบานปลายขึ้นไปอีก เนื่องจากทหารที่กลับมาจากสงครามร้อยละ 50 ต่างต้องได้รับเงินชดเชยอาการทุพพลภาพ และมีมากกว่า 600,000 ราย ยังต้องรักษาตัวอยู่ในสถานพยาบาลทหารผ่านศึก พวกเราก็ประเมินไว้ว่าค่าใช้จ่ายชดเชยผู้มีอาการทุพพลภาพ และค่ารักษาพยาบาลจะพุ่งถึง 600,000 ถึง 900,000 ล้านดอลลาร์ แต่ราคาที่ต้องจ่ายในทางสังคมอย่างเช่นการฆ่าตัวตายของทหารผ่านศึก (เมื่อไม่กี่ปีมานี้เคยมีสถิติมากถึง 18 รายในวันเดียว) และครอบครัวแตกแยกนั้น ประเมินค่าไม่ได้
แม้ว่าบุชอาจได้รับการให้อภัยกับการทำให้สหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ ทั่วโลกต้องทำสงครามอันเสแสร้งและบิดเบือนราคาที่ต้องจ่าย แต่ก็ไม่มีข้อแก้ตัวให้กับวิถีทางการเงินของเขา นี่เป็นสงครามครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่จ่ายโดยใช้เครดิต ขณะที่สหรัฐฯ ทำสงครามอยู่นั้น ประเทศก็กำลังประสบภาวะขาดดุลอยู่แล้วจากการลดภาษีในปี 2001 บุชตัดสินใจลดภาษีลงอีกยกหนึ่งเพื่อ "บรรเทาทุกข์" คนรวย
ในตอนนี้สหรัฐฯ หันมาสนใจเรื่องปัญหาการว่างงานและงบประมาณขาดดุล ทั้งสองอย่างนี้เป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวงต่ออนาคตของสหรัฐฯ ซึ่งมีต้นเหตุมาจากการทำสงครามในอัฟกานิสถานและอิรัก การเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมพร้อมกับการตัดภาษี เป็นเหตุผลหลักว่าทำไมค่า GDP ของสหรัฐฯ จึงตกลงจากเดิมที่มีส่วนเกินร้อยละ 2 ต่อปี เมื่อบุชถูกเลือกให้มาเป็นผู้ก่อการขาดดุลและก่อหนี้มาจนถึงทุกวันนี้ ค่าใช้จ่ายโดยตรงของรัฐบาลที่ใช้ไปกับสงครามประเมินค่าได้เท่ากับ 2 แสนล้านดอลลาร์ หรือ ราว 17,000 ดอลลาร์ ต่อครัวเรือน ถ้ารวมบิลล์ที่ยังไม่มาด้วย ก็ต้องบวกไปอีกราวมากกว่าร้อยละ 50
นอกจากนี้แล้วยังมีสิ่งที่ผมกับไบล์มถกเถียงกันไว้ในหนังสือ The Three Trillion Dollar War ว่าสงครามทำให้เศรษฐกิจมหภาคของสหรัฐฯ ก่อนแอลง ยิ่งซ้ำเติมให้การขาดดุลและภาวะหนี้สินแย่ลงไปอีก และในตอนนี้ความวุ่นวายในตะวันออกกลางก็ทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้น ผลักให้ชาวอเมริกันต้องใช้จ่ายไปกับน้ำมันนำเข้าแทนที่จะใช้เงินในส่วนนั้นมาซื้อสินค้าที่ผลิตในสหรัฐฯ เอง
กระนั้นธนาคารกลางของสหรัฐฯ ก็ซ่อนจุดอ่อนนี้โดยการทำให้เกิดภาวะฟองสบู่ด้านอสังหาริมทรัพย์ ทำให้เกิดการบริโภคเพิ่มมากขึ้น แต่ก้ต้องใช้เวลาหลายปีในการแก้ปัญหาภาวะหนี้สินท่วม และอสังหาริมทรัพย์ที่ล้นเกิน
สิ่งที่ต่างจากความคาดหมายของคนทั่วไปคือ สงครามยิ่งทำให้ความมั่นคงของสหรัฐฯ (และของโลก) ย่ำแย่ลง ในทางที่บิน ลาเดน ก็ไม่ได้จินตนาการถึงมาก่อน สงครามที่คนไม่ชอบยิ่งทำให้การเกณฑ์ทหารยากขึ้นในทุกด้าน แต่การที่บุชพยายามหลอกสหรัฐฯ ในเรื่องค่าใช้จ่ายทางสงคราม เขาได้ให้งบประมาณกองทัพน้อยกว่าความจำเป็น ไม่ออกแม้กระทั่งค่าใช้จ่ายพื้นฐาน เช่น รถหุ้มเกราะและพาหนะต้านกับดักระเบิด ซึ่งควรจะมีไว้ป้องกันชีวิตของชาวอเมริกัน หรือกระทั่งค่าใช้จ่ายด้านพยาบาลที่เหมาะสมสำหรับทหารผ่านศึก ศาลสหรัฐฯ ประกาศเมื่อไม่นานมานี้ว่าสิทธิของทหารผ่านศึกถูกละเมิด (ที่น่าสนใจคือ รัฐบาลโอบาม่าอ้างว่าควรจะมีการจำกัดสิทธิในการฟ้องร้องต่อศาลของทหารผ่านศึก!)
การกระทำเกินความสามารถของกองทัพทำให้เกิดความกังวลว่าจะนำไปสู่การใช้กำลังทหาร และการที่มีคนรู้ในเรื่องนี้ก็ยิ่งข่มให้ความมั่นคง ของสหรัฐฯ อ่อนแอลงไปด้วย แต่ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของสหรัฐฯ นั้นมีมากกว่าด้านการทหารและด้านเศรษฐกิจ พวกเขายังมี "พลังอ่อน" คือพลังอำนาจเชิงจริยธรรม แต่อำนาจอ่อนนี้เองก็ดูจะเบาแรงลงไปด้วย เนื่องจากสหรัฐฯ ได้ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างเช่นการถูกปล่อยตัวจากการกักขังอย่างผิดกฏหมาย (habeas corpus) และสิทธิในการไม่ถูกทรมาน พันธะผูกพันธ์ต่อกฏหมายนานาชาติที่มีมายาวนานของสหรัฐฯ ได้ถูกตั้งคำถาม
ทั้งสหรัฐฯ และประเทศพันธมิตรรู้ดีว่า สำหรับกรณีในอัฟกานิสถานกับอิรักแล้ว ชัยชนะที่อยู่ยั่งยืนยาวนานกว่าคือการชนะใจ แต่ความผิดพลาดตั้งแต่ช่วงปีแรกๆ ของสงครามยิ่งทำให้การต่อสู้ที่ยากลำบากนี้ซับซ้อนขึ้นไปอีก ผลกระทบจากสงครามนั้นกว้างใหญ่มาก มีชาวอิรักจำนวนมากกว่าหนึ่งล้านคนเสียชีวิตจากสงคราม ทั้งทางตรงและทางอ้อม จากงานวิจัยบางชิ้นระบุว่ามีประชาชนอย่างน้อย 137,000 ราย ถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมในอัฟกานิสถานและอิรักเมื่อสิบปีที่ผ่านมา และในอิรักเองก็มีประชาชน 1 ล้าน 8 แสน คนต้องกลายเป็นผู้อพยพ อีก 1 ล้าน 7 แสนคน ต้องย้ายถื่นฐานภายในประเทศ
ไม่ใช่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเรื่องเสียหายไปทั้งหมด การขาดดุลงบประมาณที่สหรัฐฯ ทุ่มลงไปใช้ในสงครามจนเกิดหนี้ ส่งผลอย่างใหญ่หลวงมากเสียจนตอนนี้สหรัฐฯ ต้องอยู่กับโลกความจริงด้วยการลดการใช้จ่ายงบประมาณลง การใช้จ่ายทางการทหารของสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในระดับใกล้เคียงกับทั้งโลกรวมกัน 2 ทศวรรษหลังสงครามเย็น รายจ่ายที่เพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งนำไปใช้ในสงครามราคาแพงกับอิรักและอัฟกานิสถาน รวมถึงในวงกว้างระดับโลกคือนโยบาย "สงครามต่อต้านการก่อการร้าย" แต่มีจำนวนมากที่เสียไปกับอาวุธที่ไม่ได้นำไปใช้กับศัตรูที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง ในที่สุดตอนนี้ทรัพยากรเหล่านั้นกำลังถูกนำกลับมาจัดการใหม่แล้ว และสหรัฐฯ ก็จะมีความมั่นคงมากขึ้นโดยที่จ่ายน้อยลง
อัล เคด้า ที่แม้จะไม่ชนะ ไม่แสดงตนเป็นภัยน่าสะพรึงกลัวเช่นเดียวกับที่เคยเป็นเมื่อช่วงหลังการจู่โจม 9-11 อีก แต่ราคาที่ทั้งสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ ต้องจ่ายเพื่อจะมาถึงตรงนี้ได้ ก็ถือว่าเสียไปมาก ทั้งส่วนใหญ่ก็หลีกเลี่ยงไม่ต้องเสียได้ มรดกตกทอดนี้จะอยู่กับเราไปอีกนาน มันสอนให้เรารู้จักคิดก่อนทำ

ข้อมูลผู้เขียนบทความ
โจเซฟ อี. สติกลิตซ์ เป็นศาตราจารย์ในมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ปี 2001 เคยเป็นหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารโลก ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ช่วงปี 1995-1997 สมัยรัฐบาลบิลล์ คลินตัน

ขอบคุณที่มา : ประชาไทย

นอม ชอมสกี้ มองย้อนโศกนาฏกรรม 9/11

Sun, 2011-09-11 18:53

บัดนี้ (ตามเวลาของผู้เขียนบทความ) ก็ใกล้จะครบรอบ 10 ปีเหตุการณ์วินาศกรรมวันที่ 11 ก.ย. 2001 แล้ว ซึ่งเป็นปกติที่จะมีการจัดรำลึก ในวันที่ 1 พ.ค. ผู้ที่น่าจะเป็นตัวบงการเบื้องหลังอาชญากรรม โอซามา บิน ลาเดน ก็ถูกสังหารในปากีสถานโดยหน่วยคอมมานโดของสหรัฐฯ กับนาวีซีล หลังจากที่เขาถูกจับตัวเอาไว้โดยไม่มีอาวุธป้องกันตนเองในปฏิบัติการเจอโรนิโม
นักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่าแม้บิน ลาเดน จะถูกสังหารแล้ว แต่เขาก็ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมากในสงครามที่เขาก่อกับสหรัฐฯ อิริก มารืโกลิสเขียนไว้ว่า "เขาได้ย้ำเสมอว่าวิธีการเดียวที่จะทำให้สหรัฐฯ ออกห่างจากโลกมุสลิมและเอาชนะเหล่าข้าหลวง (satraps-เป็นคำที่ใช้เรียกผู้ปกครองมณฑลของเปอร์เซีย) พวกนั้นได้คือการดึงให้สหรัฐฯ มาทำสงครามย่อมๆ แต่ราคาแพง จนทำให้พวกนั้นล้มละลายได้"
อิริก เขียนไว้อีกว่า "ซึ่งก็คือการ 'การทำให้สหรัฐฯ หลั่งเลือด' ในคำของเขา สหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของจอร์จ ดับเบิ้ลยุ บุช ไปจนถึงบารัค โอบาม่า ต่างก็พุ่งเข้าหากับดักของบิน ลาเดน ... ด้วยแผนการใช้จ่ายงบประมาณการทหารที่สุดพิศดารและการเสพย์ติดหนี้... ตัวนี้แหละอาจเป็นภัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ชายผู้นั้นฝากทิ้งไว้ ชายผู้ที่คิดว่าตนจะเอาชนะสหรัฐฯ" โดยส่วนหนึ่งแล้วการติดหนี้ของสหรัฐฯ ก็ถูกพวกขวาจัดนำมาใช้ประโยชน์กับกาสมรู้ร่วมคิดกับพรรคเดโมแครต เพื่อบ่อนทำลายโครงการณ์ทางสังคมต่างๆ เช่น การศึกษาสาธารณะ, สหภาพแรงงาน และโดยทั่วไปคือเกราะคุ้มกันที่เหลืออยู่ที่จะคอยป้องกับระบอบบรรษัททรราช
การที่รัฐบาลสหรัฐฯ ตอบสนองความปรารถนาอันแรงกล้าของบิน ลาเดน นั้นก็เป็นไปในชั่วพริบตา เช่นที่ผมได้เขียนไว้ในหนังสือชื่อ 9/11 ที่เขียนขึ้นไม่นานหลังจากเหตุการณ์เกิด ใครที่มีความรู้ในด้านนี้คงเข้าใจดีว่า "การโจมตีชาวมุสลิมอย่างหนักนั้นเป็นการตอบสนองคำภาวนาของบิน ลาเดนและพรรคพวกของเขา และจะทำให้สหรัฐฯ กับประเทศพันธมิตรถูกล่อลวงไปสู่ 'กับดักปีศาจ' เช่นที่รัฐบาลต่างประเทศของฝรั่งเศสเคยกล่าวไว้"
ไมเคิล ชาวเออร์ นักวิเคราะห์อาวุโสของซีไอเอที่มีส่วนรับผิดชอบกับการตามล่าโอซาม่า บิน ลาเดน ตั้งแต่ปี 1996 ก็เขียนเอาไว้ไม่นานจากนั้นว่า "บิน ลาเดน พูดอย่างตรงไปตรงมาว่าทำไมเขาถึงต้องการทำสงครามกับสหรัฐฯ เขาออกมาเพื่อให้สหรัฐฯ และโลกตะวันตกเปลี่ยนนโยบายการปฏิบัติต่อโลกอิสลาม" แล้วก็สำเร็จลุล่วงด้วย "กองกำลังของสหรัฐฯ ทำให้โลกอิสลามถูกมองเป็นกลุ่มหัวรุนแรง เป็นสิ่งเดียวกับที่โอซามา บิน ลาเดน พยายามจะทำ ซึ่งเขาได้ทำเป็นรูปเป็นร่างมาตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษที่ 1990s แล้ว ผลก็คือผมคิดว่า หากเราจะสรุปว่าสหรับอเมริกาเป็นพันธมิตรหนึ่งเดียวที่บิน ลาเดน ขาดไม่ได้ก็คงไม่ผิดนัก" แล้วก็ยังคงเป็นอยู่ด้วย แม้ว่าเขาจะตายไปแล้วก็ตาม

9/11 ของแท้ครั้งแรก
มีทางเลือกอื่นอีกหรือไม่? มีความเป็นไปได้ที่กลุ่มสงครามศาสนาซึ่งส่วนใหญ่ผู้ที่ถูกวิจารณ์ในเรื่องนี้จะเป็นเป็นบิน ลาเดน อาจจะถูกแบ่งแยกหรือบ่อนทำลายหลังเหตุการณ์ 9/11 "อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ" ชื่อเรียกที่ถูก และควรจะมีวิธีทางแก้ปัญหาในฐานะอาชญากรรมโดยปฏิบัติการชองนานาชาติในการจับกุมผู้ต้องสงสัย ซึ่งเป็นเรื่องที่มีคนเห็นด้วยในเวลานั้น แต่ไม่มีการพิจารณาใดๆ เลย
ในหนังสือ 9/11 มีการอ้างคำพูดของ โรเบิร์ท ฟิสก์ ซึ่งมีข้อสรุปว่า "อาชญากรรมอันน่าสะพรึง" ของ 9/11 นั้นเป็นการกระทำอย่าง "ชั่วช้าและด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิต" ซึ่งเป็นการตัดสินที่แม่นตรง และควรจะจดจำไว้ว่าไม่มีอาชญากรรมไหนจะเลวร้ายไปกว่านี้อีก จะยกตัวอย่างที่เลวร้ายกว่าคือการไปไกลถึงขั้นระเบิดทำเนียบขาว สังหารประธานาธิบดี อาศัยระบอบเผด็จการทหารสังหารประชาชนนับพันและทรมานประชาชนอีกนับหมื่น ขณะเดียวกันก็จัดตั้งหน่วยงานก่อการร้ายในระดับนานาชาติที่ส่งเสริมให้มีการทรมานและสร้างความหวาดกลัวในรัฐอื่น มีการวางแผนลอบสังหารในระดับนานาชาติ และกระตุ้นให้เลวร้ายไปกว่านี้ด้วยการตั้งทีมเศรษฐกิจ ใช้ชื่อว่า "เดอะ กันดาฮาร์ บอย" (Kandahar - เขตปกครองในอัฟกานิสถาน) ผู้ที่ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ถ้าเป็นเช่นนี้แหละ ถึงจะเรียกว่าเลวร้ายกว่า 9/11
แต่โชคร้ายที่สิ่งที่กล่าวมานี้ไม่ใช่แค่สิ่งที่ทดลองคิดขึ้นมาเล่นๆ มันได้เกิดขึ้นจริง สิ่งเดียวที่ไม่แม่นคือ มันควรจะเอาไปคูณด้วย 25 เพื่อสามารถเทียบกับอัตราเฉลี่ยต่อหัวได้ แน่นอนว่าผมกำลังจะกล่าวถึงสิ่งที่ประเทศละตินอเมริกามักจะเรียกว่า "9/11 ครั้งแรก" คือเหตุการณ์ในวันที่ 11 ก.ย. 1973 เมื่อสหรัฐฯ ประสบความสำเร็จในการล้มรัฐบาลประชาธิปไตยของ ซัลวาดอร์ อัลเลนด์ ในชิลี โดยการก่อรัฐประหารและนำนายพลปิโนเชต์ เผด็จการผู้โหดเหี้ยมขึ้นเป้นผู้นำ เป้าหมายจากปากคำของรัฐบาลนิกสันคือการขจัด "ไวรัส" ซึ่งจะคอยหนุนให้ "พวกต่างชาติที่จะมาหาเรื่องเรา" ยึดครองทรัพยากรกลับคืนไปเป็นของพวกเขาเอง และเริ่มมีนโยบายในการพัฒนาประเทศอย่างไม่ขึ้นกับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเรื่องที่สหรัฐฯ ยอมไม่ได้ ในเบื้องหลังนั้นสภาความมั่นคงแห่งชาติได้สรุปว่า หากสหรัฐฯ ไม่สามารถควบคุมละตินอเมริกาได้ ก็อย่างหวังที่จะ "ใช้อำนาจควบคุมที่อื่นในโลก"
เหตุการณ์ 9/11 ครั้งแรกนั้นไม่เหมือนครั้งที่สอง มันไม่ได้ถึงขั้นเปลี่ยนโลก "ไม่มีอะไรที่ถือเป็นผลกระทบใหญ่หลวง" เช่นที่เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ รมต.ต่างประเทศในสมัยนั้นได้กล่าวกับประธานาธิบดี
เหตุการณ์ที่ส่งผลน้อยนิดนี้ไม่ได้มีเพียงแค่การรัฐประหารที่ทำลายประชาธิปไตยของชิลีและก่อให้เกิดเรื่องน่ากลัวตามมาเท่านั้น '9/11 ครั้งแรก' เป็นเพียงแค่บทหนึ่งของละครที่เริ่มเรื่องมาตั้งแต่ 1962 เมื่อ จอห์น เอฟ เคนเนดี้ เปลี่ยนรูปแบบพันธกิจของกองทัพละตินอเมริกาจาก "การคุ้มกันภูมิภาค" ซึ่งต่อเนื่องมาจากสงครามโลกครังที่ 2 ไปเป็น "ความมั่นคงภายใน" ซึ่งเป็นแนวคิดที่ถูกตีความอย่างน่าขนลุกภายในวงชาวละตินอเมริกาที่ถูกสหรัฐฯ ครอบงำ
เมื่อไม่นานมานี้ทางมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ก็มีหนังสือ History of the Cold War ออกมา โดยนักวิชาการด้านละตินอเมริกา จอห์น โคทเวิร์ธเขียนไว้ว่า ตั้งแต่เวลานั้นมาจนถึง "การล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1990 จำนวนนักโทษการเมือง เหยื่อที่ถูกทรมาน และการสังหารผู้ประท้วงทางการเมืองที่ไม่ได้ใช้ความรุนแรงในละตินอเมริกาก็มีมากขึ้นจนแซงหน้าสหภาพโซเวียตและประเทศยุโรปตะวันออกที่เป็นประเทศบริวาร" รวมถึงการสละชีพทางศาสนาและการสังหารหมู่ที่มีการสนับสนุนหรือริเริ่มจากรัฐบาลสหรัฐฯ ด้วย เหตุรุนแรงครั้งสุดท้ายที่เกิดขึ้นคือการสังหารปัญญาชนละตินอเมริกัน 6 รายอย่างโหดเหี้ยม รวมถึงนักบวชนิกายเยซูอิด เพียงไม่กี่วันหลังจากกำแพงเบอร์ลินแตก ผู้ก่อการคือหน่วยทหารพิเศษของเอล ซัลวาดอร์ ที่เคยกระทำการนองเลือดอย่างน่าหวาดผวา ถูกฝึกมาจากโรงเรียนฝึกหน่วยรบพิเศษของจอห์น เอฟ เคนเนดี รับคำสั่งโดยตรงมาจากเบื้องสูงของสหรัฐฯ
ผลที่ตามมายังคงทำให้ภูมิภาคนี้ย่ำแย่ และกระทบกระเทือนอย่างมาก

จากลักพาตัว ทรมาน ไปจนถึงลอบสังหาร
ทั้งหมดนี้รวมถึงเรื่องที่ใกล้เคียงกันกลับถูกเพิกเฉยราวกับว่าไม่ได้ส่งผลอะไรมาก แล้วก็ลืมเลือนไป กลุ่มคนที่มีภารกิจต้องคอยปกครองโลกชื่นชมกับภาพลักษณ์ที่ชวนให้ตัวเองสบายใจมากกว่า มีการสื่อออกมาอย่างดีในวารสารที่น่านับถือ (และมีคุณค่า) เล่มล่าสุดของสถาบันราชบัณฑิตด้านการต่างประเทศของลอนดอน บทความหลักในเล่มกล่าวถึงเรื่อง "การจัดระเบียบโลกอย่างมีวิสัยทัศน์" ของ "ยุคครึ่งหลังศตวรรษที่ยี่สิบ" โดยเน้นถึง "การทำให้วิสัยทัศน์ด้านความมั่งคั่งทางพาณิชย์ในแบบอเมริกันกลายเป็นสากลโลก" มันก็มีอะไรบางอย่างที่น่าจะจริง แต่ก็ไม่ได้โยงให้นึกถึงคนที่อยู่ปลายปากกระบอกปืน
เป็นเรื่องเดียวกันกับการสังหารโอซามา บิน ลาเดน ที่ทำให้ "สงครามต่อต้านการก่อการร้าย" ดำเนินมาถึงจัดสุดท้าย ซึ่งคำว่า "สงครามต่อต้านการก่อการร้าย" นี้เองถูกประกาศโดยจอร์จ ดับเบิ้ลยุ บุช ในเหตุการณ์ 9/11 ครั้งที่สอง เราลองมาปรับทัศนะเกี่ยวกับเหตุการณ์และความสำคัญของมันดูบ้าง
ในวันที่ 1 พ.ค. 2011 โอซามา บิน ลาเดน ถูกสังหารในที่พักที่ไม่มีการคุ้มกัน โดยกลุ่มจู่โจมนาวีซีล 79 ราย ที่เข้าไปในปากีสถานโดยเฮลิคอปเตอร์ หลังจากมีเรื่องราวน่ากลัวจำนวนมากออกมาจากรัฐบาลแล้วก็เงียบหายไป ในทีสุดรายงานอย่างเป็นทางการก็ทำให้กระจ่างขึ้นมาว่าการปฏิบัติการในครั้งนี้เป็นการวางแผนสังหาร โดยมีการละเมิดบรรทัดฐานของกฏหมายนานาชาติหลายข้อ เริ่มจากการรุกล้ำเขตแดนอันดับแรก
ดูเหมือนพวกเขาจะไม่พยายามจับกุมผู้ที่ไม่มีอาวุธอยู่ในมือเลย ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้แน่ๆ สำหรับหน่วยรบพิเศษ 79 นายที่ไม่มีอะไรต่อต้าน เว้นแต่ตามที่รายงานบอกคือภรรยาของบิน ลาเดน ซึ่งก็ไม่มีอาวุธเช่นกัน แล้วพวกเขาก็ยิงภรรยาของบิน ลาเดน ขณะที่เธอ "พุ่งเข้าใส่" พวกเขา หากอ้างจากที่ทำเนียบขาวบอก
มีผู้เล่าถึงเหตุการณ์นี้ในอีกมุมมองหนึ่งที่น่าเชื่อถือได้คือจากผู้สื่อข่าวตะวันออกกลางที่มากประสบการณ์อย่า ง โยชิ เดรียเซน และเพื่อนร่วมงานจากหนังสือพิมพ์ Atlantic เดรียเซนเคยเป็นนักข่าวสายการทหารให้กับ Wall Street Journal มาก่อน แล้วยังเป็นผู้สื่อข่าวอาวุโสให้กับกลุ่มเนชันนัลเจอร์นัลกรุ๊ปในประเด็นการทหารและความมั่นคงของประเทศ จากการสืบสวนของพวกเขาแล้วรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ได้พิจารณาเรื่องการจับเป็นบิน ลาเดน เลย "เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูลจากที่ประชุมหารือว่า ทางรัฐบาลได้สั่งการอย่างชัดเจนกับปฏิบัติการลับของหน่วยรบพิเศษร่วมว่าต้องการจับตายบิน ลาเดน เจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงก็ออกคำสั่งอย่างสังเขปกับหน่วยซีลว่าภารกิจของพวกเขาไม่ใช่การจับเป็น"
พวกเขายังได้เสริมไว้ด้วยว่า "หลายคนในเพนทากอนและหน่วยข่าวกรองกลางที่ใช้เวลากว่าทศวรรษออกล่าบิน ลาเดน ต่างก็คิดว่าการสังหารผู้นำกลุ่มติดอาวุธคนนี้เป็นการล้างแค้นที่มีความชอบธรรม" นอกจากนี้แล้ว "การจับเป้นบิน ลาเดน อาจทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องเจอกับการความท้าทายด้านกฏหมายและด้านการเมืองที่น่ารำคาญสำหรับพวกเขา" ดังนั้นจึงสั่งให้สังหารบิน ลาเดน ไปเลยดีกว่า เอาศพไปทิ้งทะเลโดยไม่มีการพิสูจน์ทางนิติเวช เป็นการกระทำที่เดาทางได้ว่าจะทำให้โลกมุสลิมรู้สึกเคืองและสงสัย
นักสืบสวนสอบสวนตั้งข้อสังเกตว่า "การตัดสินใจสังหารบิน ลาเดน นั้นเป็นสิ่งที่แสดงออกถึงนโยบายต่อต้านการก่อการร้ายของรัฐบาลโอบาม่าอย่างชัดแจ้งจากที่ก่อนหน้านี้มีการแสดงให้เห็นผลงานด้านนี้น้อยมาก ขระที่รัฐบาลบุชจัดกุมตัวผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นผู้ก่อการร้ายแล้วส่งตัวไปยังค่ายกักกันในอัฟกานิสถาน, อิรัก และอ่าวกวนตานาโม รัฐบาลโอบาม่าทำอีกอย่างหนึ่งคือ เน้นการกำจัดผู้ก่อการร้ายแบบรายบุคคลแทนการพยายามจับเป็น" นี่คือสิ่งที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญระหว่างรัฐบาลบุชกับรัฐบาลโอบาม่า มีการอ้างถึงคำพูดของนายกรัฐมนตรีเยอรมนีตะวันตก เอลมุท ชมิดท์ ที่ "กล่าวกับสถานีโทรทัศน์ของเยอรมนีว่าการจู่โจมของสหรัฐฯ นั้น 'เห็นได้ชัดว่าเป็นการละเมิดกฏหมายระหว่างประเทศ' และบอกอีกว่าบิน ลาเดน ควรถูกจับกุมตัวมาดำเนินคดี" ในทางตรงข้าม รมต.กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ อิริค โฮลเดอร์ ได้ออกมา "กล่าวปกป้องการตัดสินใจสังหารบิน ลาเดน แม้ว่าบิน ลาเดน จะไม่ได้มีท่าทีจะทำอันตรายใดๆ กับหน่วยนาวีซีลเลย เขากล่าวในการอภิปรายของรัฐบาลว่าการจู่โจมนั้น 'เป็นไปตามกฏหมาย มีความชอบธรรม และกระทำอย่างเหมาะสมในทุกด้าน'"
การนำศพไปทิ้งโดยไม่มีการชันสูตรยังถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยประเทศพันธมิตรด้วย ทนายความอังกฤษที่มีความน่าเชื่อถือสูงอย่าง จีออฟรี โรเบิร์ทสัน ผู้ที่สนับสนุนการใช้กำลังทหารของสหรัฐฯ แทรกแซงและไม่เห็นด้วยกับการสังหารบิน ลาเดน ด้วยเหตุผลในทางปฏิบัติ เขาบอกว่าการที่โอบาม่าบอกว่า "ความยุติธรรมบังเกิดแล้ว" นั้นเป็น "เรื่องเหลวไหล" ที่อดีตศาตราจารย์ด้านกฏหมายรัฐธรรมนูญอย่างเขาจะเห็นแบบนี้คงไม่แปลกเท่าไหร่ เนื่องจากกฏหมายของปากีสถานระบุไว้ว่า "ควรมีการสืบสวนหาความจริงในการเสียชีวิตอย่างผิดธรรมชาติ และกฏหมายสิทธิมนุษยชนสากลก็ย้ำว่า 'สิทธิในการมีชีวิตอยู่' สั่งให้ต้องมีการสืบหาความจริงเกี่ยวกับการตายอย่างผิดธรรมชาติ ที่มาจากการกระทำของรัฐบาลหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดังนั้นสหรัฐฯ จึงต้องมีการไต่สวนข้อเท็จจริงของสถานการณ์เพื่อให้ชาวโลกพอใจ"
โรเบิร์ทสันยังได้กล่าวสิ่งที่มีประโยชน์ที่จะย้ำเตือนพวกเราว่า
"มันก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป เมื่อเวลาพิพากษาตัดสินคนที่จมอยู่ในความชั่วยิ่งกว่าบิน ลาเดน อย่างผู้นำนาซีมาถึง รัฐบาลอังกฤษก็ต้องการให้พวกนาซีถูกแขวนคอภายใน 6 ชั่วโมง หลังการถูกจับตัว ประธานาธิบดีทรูแมนคัดค้าน โดยอ้างถึงข้อสรุปของ รมต.ยุติธรรม โรเบิร์ต แจ็กสัน ว่าการตัดสินประหารชีวิตจะติดฝังอยู่กับจิตสำนึกของชาวอเมริกันอย่างไม่น่าจดจำ หรือจะทำให้เด็กรุ่นต่อไปจดจำมันอย่างภาคภูมิใจนั้น ...สิ่งเดียวที่จะตัดสินคือตัวผู้ถูกกล่าวหามีความผิดจริงหรือไม่นั้น ก็หลังจากกาลเวลาผู้สดับฟังอย่างเป็นกลางจะอนุญาต และหลังจากข้อมูลที่จะทำให้เหตุผลกับแรงจูงใจของเราชัดเจน"
อิริก มาร์โกลิส ให้ความเห็นว่า "รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่เคยนำหลักฐานพิสูจน์ว่าโอซามา บิน ลาเดน อยู่เบื้องหลังเหตุการ 9/11 ออกมาสู่สาธารณะ" เหตุผลหนึ่งที่เป็นไปได้คือ "มีผลสำรวจออกมาว่าหนึ่งในสามของกลุ่มประชากรชาวอเมริกันเห็นว่ารัฐบาลสหรัฐฯ และ/หรือ อิสราเอลอยู่เบื้องหลังโศกนาฏกรรม 9/11" ขณะที่ในโลกมุสลิมมีผู้สงสัยในเรื่องนี้มากกว่า อิริก ยังได้กล่าวต่ออีกว่า "หากมีการดำเนินคดีในสหรัฐฯ หรือที่กรุงเฮก (ศาลโลก) คงทำให้เรื่องนี้ถูกเปิดโปงสู่สาธารณะ" ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมรัฐบาลสหรัฐฯ ถึงควรทำตามกฏหมาย
สิ่งที่เอฟบีไอเชื่อว่าจริงในเดือน มิ.ย. ปี 2002 คือสิ่งที่พวกเขาไม่รู้มาก่อนว่า 8 เดือนก่อนหน้านั้นรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ปฏิเสธข้อเสนอของกลุ่มตอลีบัน (ซึ่งจะจริงจังขนาดไหนเราก็ไม่ทราบ) ที่เสนอว่าว่าจะอนุญาติให้นำตัวบิน ลาเดน ไปดำเนินคดีหากพบหลักฐานว่าเขาผิดจริง แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องจริงเมื่อประธานาธิบดีโอบาม่าอ้างในแถลงการณ์ของทำเนียบขาวที่ออกมาหลังจากบิน ลาเดน เสียชีวิตว่า "พวกเราทราบอย่างรวดเร็วว่าการโจมตี 9/11 เป็นการกระทำของกลุ่ม อัล-เคด้า"
ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราต้องสงสัยสิ่งที่เอฟบีไอเชื่อในช่วงกลางปี 2002 แต่นั่นก็ยังทำให้เราห่างไกลจากการพิสูจน์ความผิดที่ควรจะมีในสังคมอารยะเช่นนี้ รวมถึงหลักฐานใดๆ ก็ตามเท่าที่หามาได้ มันไม่มีเหตุผลอันสมควรในการจะสังหารผู้ต้องสงสัยผู้ที่สามารถจับกุมตัวมาดำเนินคดีอย่างง่ายดาย เรื่องนี้ยังหมายถึงการหาหลักฐานด้วย คณะกรรมการ 9/11 ได้สืบพยานหลักฐานเพิ่มเติมเรื่องบทบาทของบิน ลาเดน ต่อเหตุการณ์ 9/11 โดยอาศัยข้อมุลหลักแค่จากคำสารภาพของนักโทษในกวนตานาโม น่าสงสัยมากว่าหลักฐานอ้างนี้เอาไปใช้ได้จริงในศาลอิสระได้จริงหรือไม่ เนื่องจากการสารภาพนี้เป็นการถูกกระตุ้นให้สารภาพ แล้วหากข้อสรุปของการสืบสวนจากรัฐบาลสหรัฐฯ พูดในเชิงถ้ามันมีจริง ก็ไม่ได้มีถูกตัดสินความโดยศาลที่น่าเชื่อถือพอที่จะทำให้ผู้ต้องสงสัยกลายมาเป็นผู้มีความผิดจริง
มีหลายคนพูดถึง "คำสารภาพ" ของบิน ลาเดน แต่นั่นถือเป็นคำคุยโว ไม่ใช่คำสารภาพ มันมีความน่าเชื่อถือพอๆ กับที่ผมจะ "สารภาพ" ว่าผมชนะการแข่งวิ่งมาราธอนของบอสตัน คำคุยโวทำให้เราเห็นบุคลิกหลายอย่างของบิน ลาเดน แต่ก็ไม่มีอะไรโยงไปถึงความรับผิดชอบกับสิ่งที่เขาเรียกว่าเป็น "ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่" ที่เขายกเครดิตให้ตัวเองเลย
และแน่นอนว่าเป็นเรื่องของแต่ละบุคคลในการตัดสินว่าบิน ลาเดน มีส่วนในการก่อวินาศกรรมหรือไม่ ซึ่งก็เห็นได้ชัดทันที แม้ก่อนการสืบสวนของเอฟบีไอด้วยซ้ำ

อาชญากรรมของการรุกราน
ผมอยากจะเสริมไว้ด้วยว่าคนในโลกมุสลืมจำนวนมากก็มองว่าบิน ลาเดน มีส่วนกับเหตุวินาศกรรม 9/11 และได้ประณามเขาด้วย ตัวอย่างหนึ่งที่สำคัญคือชีค ฟัดอัลลาห์ นักบวชเลบานอนที่เป็นที่เคารพในหมู่เฮซบอลลาและนิกายชีอะห์ที่อยู่ประเทศอื่น เขาเคยถูกลอบวางแผนลอบสังหารมาก่อน โดยมีคนลอบวางระเบิดรถบรรทุกภายนอกมัสยิด ซึ่งเป็นปฏิบัติการของซีไอเอช่วงปี 1985 เขาหนีรอดมาได้ แต่ก็มีคน 80 คนถูกสังหารไป ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็กที่กำลังทยอยออกมาจากมัสยิด นี่เป็นหนึ่งในอาชญากรรมนับไม่ถ้วนที่ไม่ได้ถูกรวมอยู่ในบัญชีของการก่อการร้าย เพียงเพราะการใช้เหตุผลวิบัติของ "หน่วยงานที่มีความผิด" ชีค ฟัดอัลลาห์เองก็ประณามการโจมตี 9/11
หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญที่ร่วมกับขบวนการสงครามศาสนา ฟาวาซ เกอเจส เสนอว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มอาจถูกทำให้แตกไปได้ในเวลานั้นหากสหรัฐฯ ฉวยโอกาส แทนที่จะยิ่งช่วยขับเคลื่อนขบวนการ ส่วนหนึ่งก็ด้วยการโจมตีอิรัก ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากกับบิน ลาเดน ทำให้การก่อการร้ายยิ่งเพิ่มสูงขึ้นเมื่อมีพวกสายลับเข้ามาร่วมด้วย จากการฟังผลการพิจารณาคดีเบื้องหลังการบุกอิรักโดย (จอห์น) ชิลคอท ผู้ไต่สวนจากอังกฤษ ยกตัวอย่างได้ว่า อดีตองค์กรข่าวกรองภายในประเทศอังกฤษ MI5 ให้การว่า หน่วยข่าวกรองของทั้งสหรัฐฯ และอังกฤษต่างทราบดีว่าซัดดัมไม่ได้แสดงตนเป็นภัยร้ายแรงใดๆ การบุกอิรักยิ่งทำให้การก่อการร้ายเพิ่มมากขึ้น การบุกอิรักและอัฟกานิสถานยิ่งทำให้เกิดมุสลืมรุ่นต่อมาที่มีความสุดโต่งขึ้นเมื่อเขาเห็นว่าปฏิบัติการทางทหารเป็น "การโจมตีอิสลาม" ซึ่งก็ถือเป็นอีกกรณีว่าความปลอดภัยไม่ใช้สิ่งที่คำนึงถึงอันดับต้นๆ ในการปฏิบัติการ
พวกเราควรตั้งคำถามแบบเตือนตัวเองดูว่า เราควรจะทำอย่างไรหากมีทหารหน่วยพิเศษของอิรักบุกไปถึงที่พักของจอร์จ ดับเบิลยู บุช แล้วสังหารเขา เอาร่างเขาไปทิ้งมหาสมุทรแอตแลนติก (แน่นอนว่าหลังจากทำพิธีศพตามประเพณีแล้ว) ไม่มีข้อโต้แย้งเลยว่าบุชไม่ใช่ "ผู้ต้องสงสัย" แต่เป็น "ผู้ตัดสินใจ" สั่งการให้บุกประเทศอิรัก ซึ่งก็อการ "ก่ออาชญากรมร้ายแรงข้ามชาติ ที่ต่างจากอาชญากรรมสงครามอื่นๆ ตรงที่เป็นแหล่งรวมความชั่วร้ายทั้งหมดไว้ในตัว" ซึ่งเป็นสิ่งเดียวกับที่ทำให้อาชญากรนาซีถูกแขวนคอ เขาทำให้ประชาชนนับแสนเสียชีวิต อีกกว่าล้านกลายเป็นผู้อพยพ ทำลายประเทศและแหล่งมรดกของชาติ ทำให้เกิดความขัดแย้งในหมู่นิกายย่อยลุกลามไปทั่วภูมิภาค ที่ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ อีกคือ อาชญากรรมเหล่านี้มากเกินกว่าที่บืน ลาเดน ก่อไว้เสียอีก
แม้จะบอกว่าไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่ถูกปฏิเสธ การมีอยู่ของกลุ่มผู้เชื่อว่าโลกแบนไม่ได้เปลี่ยนข้อเท็จจริงที่ไม่อาจโต้แย้งว่า โลกไม่ได้แบน เช่นเดียวกับที่บอกว่าสตาลินและฮิตเลอร์เป็นผู้ก่ออาชญากรรมเลวร้าย แต่กลุ่มผู้ภักดีก็ปฏิเสธว่าพวกเขาไม่ได้ทำ เช่นเดียวกันว่าทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่สามารถแสดงความเห็นได้ เว้นแต่ในบรรยากาศที่เร้าอารมณ์แบบสุดโต่งเสียจนบดบังความคิดที่มีเหตุผลไปเสียหมด
เช่นเดียวกัน ไม่มีข้อโต้แย้งว่าบุชได้ก่อ "อาชญากรรมข้ามชาติร้ายแรง" คืออาชญากรรมของการรุกราน อาชญากรรมชนิดนี้โรเบิร์ท แจ็กสัน ผู้เคยเป็นหัวหน้าทนายไต่สวนคดีนูเรมเบิร์ก (Nuremberg Trials - คดีที่ฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ 2 ดำเนินการไต่สวนกับเหล่าผู้นำนาซี) ได้นิยามเอาไว้แล้ว เขากล่าวแถลงต่อศาลว่า "ผู้รุกราน" คือการริเริ่มกระทำการเช่น "การรุกล้ำด้วยหน่วยติดอาวุธเข้าไปในอาณาเขตของรัฐอื่น ทั้งโดยการประกาศและไม่ประกาศสงคราม ..." ไม่มีใครเลย แม้กระทั่งกลุ่มสุุดโต่งที่สนับสนุนการรุกรานปฏิเสธเรื่องที่ว่าบุชและพรรคพวกก็ทำอย่างเดียวกัน
พวกเราควรจะระลึกถึงคำกล่าวอย่างมีวาทศิลป์ของแจ็กสันที่นูเรมเบิร์กในเรื่องหลักการของความเป็นสากลด้วย "หากการกระทำใดๆ ที่ละเมิดต่อสนธิสัญญาถือเป็นอาชญากรรม มันก็จะถือเป็นอาชญากรรมไม่ว่าฝ่ายสหรัฐฯ หรือเยอรมนีจะเป็นผู้กระทำ และพวกเราก็ยังไม่ละวางการกฏการตัดสินคดีกับจำเลยอื่น ซึ่งพวกเราคงไม่ต้องการให้ถูกนำมาใช้กับพวกเราเอง"
ชัดเจนว่าเจตนาในคำประกาศนี้ไม่ได้มีส่วนสัมพันธ์อะไรกัน แม้พวกเขาจะเชื่อเช่นนั้นจริง มีบันทึกภายในเปิดเผยว่าเผด็จการฟาสซิสต์ญี่ปุ่นช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเชื่อว่าการบุกถล่มจีนจะเป็นการช่วยสร้างให้จีนกลายเป็น "สวรรค์บนดิน" และแม้ว่ามันอาจจินตนาการยากไม่หน่อย แต่ก็เข้าใจได้ว่าบุชและพรรคพวกก็เชื่ออย่างเดียวกันว่าพวกเขากำลังกอบกู้โลกขากการทำลายของอาวุธนิวเคลียร์ที่ซัดดัมมี สองเหตุการณ์นี้ไม่เกี่ยวกัน แต่กลุ่มผู้ภักดีต่อฝ่ายตนเองก็คงพยายามทำให้ตัวเองเชื่อตามนั้นไปด้วย
พวกเรามีทางเลือกอยู่สองทางเท่านั้น คือให้บุชและพรรคพวกถูกตัดสินว่ามีความผิดในฐานะที่ก่อ "อาชญากรรมร้ายแรงข้ามชาติ" รวมถึงความผิดอื่นๆ ที่ตามมา หรือประกาศว่ากระบวนการดำเนินคดีนูเรมเบิร์กเป็นแค่ปาหี่ และประเทศพันธมิตรก็มีความผิดฐานฆาตกรรมผ่านกระบวนการศาล

จิตแบบจักรวรรดินิยมกับเหตุ 9/11
ไม่กี่วันก่อนการสังหาร บิน ลาเดน ออลานโด บอช เสียชีวิตอย่างสงบในฟลอริด้า ที่เขาพักอาศัยอยู่กับผู้สมรู้ร่วมคิดอย่างลูอิซ โปซาดา คาร์ริลส์ และผู้ร่วมขบวนการก่อการร้ายข้ามชาติรายอื่นๆ หลังจากที่เอฟบีไอกล่าวหาว่าเขามีส่วนในการก่อการร้ายหลายสิบคดี บอชก็ได้รับการอภัยโทษโดยประธานาธิบดีบุชผู้พ่อ โดยที่รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมยุคนั้นคัดค้าน ซึ่งให้ข้อสรุปว่า "การให้บอชกบดานอย่างปลอดภัยจะทำให้ภาพลักษณ์ของสหรัฐฯ เลวร้ายในสายตาประชาชนอย่างไม่อาจหลีกเเลี่ยง" การเสียชีวิตไล่เลี่ยกันอย่างบังเอิญของทั้งคู่ชวนให้นึกถึงลัทธิบุชผู้ลูก กราแฮม แอลลิสัน ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกล่าวว่า "กฏความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในทางพฤตินัย" (a de facto rule of international relations) ที่บุชกล่าวไว้ได้เกิดขึ้นแล้วคือ "การที่รัฐอธิปไตยให้ที่พักพิงแก่ผู้ก่อการร้าย" (the sovereignty of states that provide sanctuary to terrorists)
แอลลิสันกล่าวพาดพิงถึงการที่บุชผู้ลูกเคยประกาต่อกลุ่มตอลิบันว่า "ใครก็ตามที่ให้ที่พักพิงแก่ผู้ก่อการร้ายก็มีความผิดเช่นเดียวกับผู้ก่อการร้าย" ซึ่งหมายความว่าจะทำให้รัฐนั้นๆ สูญเสียอำนาจอธิปไตยและกลายเป็นเป้าหมายของการทิ้งระเบิดและการก่อการร้าย ยกตัวอย่างเช่นรัฐที่ให้ที่อยู่อาศัยบอชกับพรรคพวก เมื่อบุชประกาศ "กฏความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในทางพฤตินัย" ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่าเขากำลังเรียกร้องให้มีการรุกรานและทำลายล้างสหรัฐอเมริกา รวมถึงการสังหารประธานาธิบดีผู้ก่ออาชญากรรม
ทุกอย่างนี้จะไม่เป็นปัญหาเลยหากเราเพิกเฉยต่อหลักการของความเป็นสากลของแจ็กสันเสีย แล้วก็หันมาใช้หลักการว่าสหรัฐฯ มีภูมิคุ้มกันต่อกฏหมายและอนุสัญญาของนานาชาติ ซึ่งจริงๆ รัฐบาลเราก็แสดงให้เห็นมาโดยตลอดอยู่แล้ว
น่าคิดอีกเรื่องหนึ่งคือชื่อที่ตั้งให้กับปฏิบัติการล่าบิน ลาเดน คือปฏิบัติการเจอโรนิโม (Operation Geronimo) จิตแบบจักรวรรดิ์นิยมแสดงออกมาจากชื่อนี้ชัดแจ้งมากจนนึกไปว่าพวกทำเนียบขาวถึงขั้นยกย่องบิน ลาเดน โดยเรียกเขาว่า "เจอโรนิโม" ชื่อเดียวกับผู้นำเผ่าอินเดียนแดงอาปาเช่ คนที่นำเผ่าต่อต้านผู้รุกรานแผ่นดินของอาปาเช่
การเลือกใช้ชื่อนี้ชวนให้นึกถึงการที่เรานำชื่อเหยื่ออาชญากรรมของพวกเรา มาตั้งเป็นชื่ออาวุธสังหารของพวกเราเองอย่างง่ายดาย เช่น อาปาเช่, แบล้กฮอว์ก (ทั้งสองเป็นชื่อรุ่นเฮลิคอปเตอร์) พวกเราอาจแสดงออกอีกแบบหนึ่งก็ได้ ถ้าหากหน่วยลูฟท์วาฟ (Luftwaffe - หน่วยทหารอากาศของเยอรมนี) เรียกชื่อเครื่องบินรบของพวกเขาว่า "ยิว" และ "ยิปซี"
ตัวอย่างที่ยกมาอาจตกไปอยู่ในประเด็นเรื่องแนวคิดว่า "อเมริกันคือผู้วิเศษไม่เหมือนใคร" (American Exceptionalism) เว้นแต่เป็นเรื่องปกติที่รัฐที่มีอำนาจทั้งหลายมักจะกลบเกลื่อนความผิดของตนเองอย่างง่ายดาย อย่างน้อยก็กับรัฐที่ไม่ได้ถูกทำให้แพ้พ่ายหรือถูกบีบให้ต้องเผชิญความจริง
บางทีรัฐบาลอาจมองว่าการบุกสังหารเป็น "การแสดงการล้างแค้น" เช่นที่โรเบิร์ทสันสรุปไว้ และบางทีการปฏิเสธการใช้วิธีการดำเนินคดีตามกฏหมายก็สะท้อนความแตกต่างระหว่างวิถีทางจริยธรรมของปี 1945 กับปัจจุบัน ไม่ว่าแรงจูงใจเบื้องหลังจะเป็นสิ่งใดก็ตาม มันยากที่จะเรียกว่าเป็นความมั่นคง ดูตัวอย่างการก่อ "อาชญากรรมข้ามชาติร้ายแรง" ในอิรักสิ การสังหารบิน ลาเดน ก็แสดงให้เห็นความจริงข้อหนึ่งว่าความมั่นคงปลอดภัยไม่ใช่สิ่งแรกๆ ที่ปฏิบัติการของรัฐพวกนี้จะนึกถึง ตรงข้ามกับหลักปฏิบัติที่พวกเขาได้เรียนรู้มา


ขอบคุณที่มา : ประชาไทย

วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554

: “ความเป็นไทย”: อัตลักษณ์แห่งความดักดาน

มุกหอม วงษ์เทศ

ถ้าลองใช้โวหารชาตินิยมไทยดูบ้าง ข้าพเจ้าคิดว่าความเป็นไทยมากมายหลายอย่างเป็นตัวถ่วงความเจริญของชาติไทยและคนไทย หรือกล่าวอย่างกำปั้นทุบดินได้ว่า ความล้าหลังและลักษณะอนุรักษนิยมจัดของสังคมไทยมีสาเหตุหลักๆ มาจากความเป็นไทยนั่นเอง
และถ้าจะลองเลียนสำนวนชนชั้นสูงไทยเพื่อความเป็นศิริมงคล ความคิดและการงานสิ่งใดของฝรั่งหรือญี่ปุ่นที่คิดประดิษฐ์ขึ้นดีๆ ข้าพเจ้าเห็นว่าเราควรเลื่อมใสนับถือให้มาก เราไม่ควรตามโลกตะวันตกเฉพาะด้านความเจริญทางวัตถุ แต่ควรตามความเจริญในโลกสากลทางด้านความคิดจิตใจและความสัมพันธ์ทางสังคมด้วย
แล้วถ้าจะลองเสนอนโยบายให้กระทรวง(ไม่มี)วัฒนธรรมพิจารณา ในเมืองไทยสิ่งที่ควรจะรักษา(แต่ไม่ใช่ตะบันขึ้นทะเบียน)คือมรดกวัฒนธรรมทางศิลปะ/วัตถุ(บางอย่าง เพราะไม่มีที่ไหนทำได้ทุกอย่าง) ไม่ใช่มรดกวัฒนธรรมทางความคิดจิตใจ และสิ่งที่ควรจะปรับเปลี่ยนรื้อถอนคือมรดกวัฒนธรรมทางความคิดจิตใจ ไม่ใช่มรดกวัฒนธรรมทางศิลปะ/วัตถุ (ซึ่งไม่ได้หมายถึงการ “แช่แข็ง” ห้ามดัดแปลง) โดยพึงระวังว่าวิธีคิดเกี่ยวกับวัฒนธรรมและรสนิยมในการจัดการวัฒนธรรมจะเป็นตัวกำหนดแนวทางในการอนุรักษ์ ทว่าปัญหาใหญ่หลวงในเรื่องการจัดการวัฒนธรรมของรัฐไทยกลับคือการไร้ความคิด(ที่ถูก) และไร้รสนิยม(ที่ดี) แน่นอนว่าความคิดที่ถูกและรสนิยมที่ดีเป็นประเด็นถกเถียงได้ไม่รู้จบ แต่พึงระลึกด้วยว่าขณะนี้เรากำลังอยู่กับรัฐราชการที่มีความคิดที่ผิดและรสนิยมที่เลวอย่างไม่อาจปกป้องและแก้ต่างได้
พูดอีกแบบก็คือ เราควรอนุรักษ์โขนและดนตรีมโหรีปี่พาทย์ แต่ลดละเลิกขนบศักดิ์สิทธิ์ของโขน-ดนตรีและโลกทัศน์แบบรามเกียรติ์ เราควรทำนุบำรุงโบราณสถาน วัดๆ วังๆ แต่ลดละเลิกโลกทัศน์แบบศักดินาและพุทธเถรวาทคับแคบ เราควรส่งเสริมการศึกษาภาษาไทย วรรณคดีไทย วัฒนธรรมไทย และศิลปะไทยทางวิชาการให้เข้มข้น จริงจัง และมีจิตวิพากษ์แบบตะวันตก แต่ลดละเลิกคติเชิดชูซาบซึ้งฟูมฟายในความเป็นไทยที่ไม่เป็นวิชาการ และบ่อยครั้งก็ไม่เป็นผู้เป็นคน
มรดกทางวัฒนธรรมเหล่านี้ควรได้รับการบริหารจัดการและวิเคราะห์วิจารณ์ในฐานะ “ศิลปะ” และ “ประวัติศาสตร์” ที่ดำรงอยู่ในประเทศนี้อันเกิดจากการหยืบยืมผสมผสานกับหลายวัฒนธรรมจนมีทัั้งลักษณะร่วมและลักษณะเฉพาะ แต่ไม่ใช่ในฐานะที่มันเป็นภาพแทนของ “ความเป็นไทย” ที่เสกสรรค์ปั้นแต่งเพื่อหลอกลวงตัวเอง และสถาปนาเป็นมาตรฐาน(ที่ไร้มาตรฐาน)เพื่อกีดกันและกดเหยียดความเป็นไทยแบบอื่นๆ ที่ไม่ถูกยอมรับและผนวกรวมให้เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นไทยอันถูกต้องดีงามฉบับราชการ
สิ่งที่รัฐราชการไทยมักกระทำมาโดยตลอดคือการสืบสานมรดกวัฒนธรรมทางความคิดจิตใจแบบศักดินาหรือความเป็นไทยแห่งชาติ แต่ปล่อยปละละเลยและไม่เห็นคุณค่าความสำคัญของมรดกวัฒนธรรมทางศิลปะ/วัตถุ อันเป็นสิ่งที่ประเทศพัฒนาแล้วเห็นคุณค่าความสำคัญ พยายามดูแลเอาใจใส่ และค้นคว้าวิจัย (ไม่นับที่ไปแย่งชิงของคนอื่นมาในสมัยอาณานิคม แม้ว่าเอามาแล้วอาจจะจัดเก็บรักษาได้ดีกว่า)
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โดยเฉพาะในส่วนของพระที่นั่งศิวโมกขพิมานที่จัดแสดงประวัติศาสตร์ชาติไทย เป็นตัวอย่างชั้นเอกอุของความน่าอับอายขายหน้าระดับชาติที่สะท้อนความเป็นไทยแบบราชการในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดได้บรรเจิดที่สุด
ความดักดานอย่างไม่ประนีประนอมปรากฏแก่สายตาผู้ชมอย่างไม่ลดราวาศอก ทั้งเนื้อหาการจัดแสดงประวัติศาสตร์ชาติไทยที่เป็นโฆษณาชวนเชื่อว่าด้วยชาติ ศาสน์ กษัตริย์ระดับประถมล้วนๆ ซึ่งอุดมไปด้วยเรื่องเล่าว่าด้วยวีรกรรมของบูรพกษัตริย์ที่ปกบ้านป้องเมืองคุ้มเหย้าและกอบกู้ชาติ ทั้งวิธีการนำเสนออันอ่อนด้อย งานช่างศิลปกรรมชั้นเลว และดีไซน์สุดอนาถ ทั้งวัสดุอุปกรณ์ที่ขาดการซ่อมบำรุงจนชำรุดใช้การไม่ได้ ทั้งสภาพห้องจัดแสดงอันทรุดโทรมทุเรศทุรังราวกับโกดังเก็บสมบัติผุๆ กับของทำปลอมห่วยๆ ที่ถูกทิ้งร้างตามยถากรรมกลางพงไพรเมื่อศตวรรษที่แล้ว
ผู้ที่หงุดหงิดโมโหง่าย ดูแล้วอาจถึงขั้นอยากสั่งรื้อให้ราพณาสูรแล้วบูรณะจัดแสดงใหม่ ส่วนผู้ที่โศกเศร้าสะเทือนใจง่าย ดูแล้วอาจอยากดิ่งไปโดดสะพานพระปิ่นเกล้าดับความระทมให้รู้แล้วรู้รอด และผู้ที่อ่อนไหวเอียงอายง่าย ดูแล้วน่าจะอยากถลาไปยืนขวางประตูทางเข้าสกัดกั้นไม่ให้ชาวต่างชาติเข้าชม จะให้คุกเข่าวิงวอนหรือจ่ายค่าห้ามดูก็ยอม แต่หากเป็นผู้ที่ปลงกับโลกและชีวิตง่าย ดูแล้วก็คงเดินออกไปเงียบๆ ทอดถอนใจ แผ่เมตตา อโหสิ แล้วก็ไปหาที่นั่งจิบเบียร์ดูเหล่าแบ็คแพ็คเกอร์แถวถนนข้าวสารเพื่อกระตุ้นความอยากมีชีวิตในประเทศนี้ต่อ
อนึ่ง ประสบการณ์เพื่อการทำลายล้างความภาคภูมิใจในความเป็นไทยนี้สามารถสัมผัสได้ด้วยตัวท่านเองด้วยสนนราคาค่าเข้าชมเพียงสามสิบบาท(ดูแล้วอยากตายทุกโรค)สำหรับคนไทย สำหรับท่านที่เป็นชาวต่างชาติ หรือเป็นคนไทยแต่อยากแปลงกายเป็นคนต่างชาติเพื่อสะกดจิตตัวเองไม่ให้เกิดความอับอายระหว่างเดินชม โปรดเตรียมเงิน 200 บาท (เป็นค่าออกจากความเป็นคนไทยชั่วคราว)
ถ้าข่มใจไปซักถามว่าไฉน National Museum of Thailand มันถึงอเนจอนาถบัดซบได้เยี่ยงนี้ เผลอๆ จะแย่กว่านิทรรศการตามโรงเรียน เคยมาดูเมื่อสิบปีก่อนก็แบบนี้ แถมยังดีกว่าด้วยซ้ำเนื่องจากตอนนั้นกระเบื้องปูพื้นยังไม่(เฟื่องฟูลอย)แตกเป็นหลุมเป็นบ่อทุกซอกทุกมุม ปุ่มต่างๆ ก็ยังไม่เจ๊งไม่พังไปเสียทุกปุ่ม เจ้าหน้าที่มักจะตอบแบบเหนียมๆ ว่า “ไม่มีงบ” ซึ่งก็จริงและน่าเห็นใจอย่างยิ่งยวด เพราะงบประมาณปีละเป็นหมื่นเป็นแสนล้านของประเทศไม่ประสงค์จะพัฒนานี้จะทุ่มอุทิศไปที่ฝ่ายความมั่นคง-กองทัพเพื่อจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์สนองตัณหา ปูนบำเหน็จตามฤดูกาล และสังหารราษฎรตามออร์เดอร์ หรือไม่ก็ประเคนไปที่การจัดงานอภิมหาอลังการแบบตำน้ำพริกละลายแม่น้ำเพื่อประโคมความภูมิใจในความเป็นไทยแบบหลอกลวงอวดนานาอารยประเทศสืบไป
งบประมาณเป็นปัจจัยสำคัญแน่นอน แต่ขาดเงินอย่างเดียวย่อมไม่ทำให้พิพิธภัณฑ์อุจาดได้ขนาดนี้ ต้องขาดอย่างอื่นอีกหลายอย่าง เช่น มันสมอง มโนสำนึก วิสัยทัศน์ หิริโอตัปปะ อิทธิบาท 4 ฯลฯ นอกจากนี้ขึ้นชื่อว่าราชการแล้ว ปัญหาการบริหารจัดการ ความขัดแย้งขัดแข้งขัดขา เรื่องทุจริตคอรัปชั่น และการเมืองภายในย่อมมีส่วนด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย
เช่นเดียวกับคำที่แบกความซับซ้อนยอกย้อนไว้มหาศาลอย่าง “สังคม” “วัฒนธรรม” “พุทธศาสนา” “ฝรั่ง” “แขก” “โลกตะวันตก” “ชนชั้นกลาง” “ชนชั้นนำ” “ชาวบ้าน” “ประชาธิปไตย” “อนุรักษนิยม” “เสรีนิยม” “ซ้าย” “ขวา” และอื่นๆ อีกมากมายที่แม้จะระแวดระวังและตระหนักถึงข้อจำกัดของการใช้มโนทัศน์เหล่านี้ แต่ก็จำต้องใช้โดยไม่อาจเลี่ยงมิติของการเหมารวมและลดทอนความซับซ้อนยอกย้อนในแง่มุมต่างๆได้ (เว้นแต่จงใจใช้ในเชิงประชด เสียดสี เหน็บแนม) เพราะมิฉะนั้นทุกครั้งที่ใช้คำแต่ละคำก็จะต้องมีอรรถาธิบายกำกับอีกหลายย่อหน้าจนน่าหัวร่อและชวนสังเวชใจ และจริงๆ แล้วมันเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้ “concept” เหล่านี้โดยต้องคอยแยกแยะนัยทางการเมืองของความหมายอย่างละเอียดลออตลอดเวลา อีกทั้งถึงจะมีมานะอุตสาหะเพียงใด ก็จะไม่มีวันทำได้สำเร็จสมบูรณ์โดยปราศจากช่องโหว่ คำอย่าง “ความเป็นไทย” ก็เช่นกัน
การจะพูดถึงความเป็นไทยซึ่งทั้งแข็งทื่อ กำกวม และลื่นไหลในบริบททางประวัติศาสตร์การเมืองและวัฒนธรรมต่างๆ เราก็ต้องพยายามจับให้ได้คาหนังคาเขาในระดับหนึ่งก่อนว่า ในช่วงเวลาหนึ่งๆ อะไรและอย่างไรคือความเป็นไทย โดยละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า ในครรลองเดียวกันกับแทบทุกอย่างในสังคมที่พูดไปแล้วก็ซ้ำซาก “ความเป็นไทย” ไม่ใช่สิ่งติดตัวมาตามธรรมชาติที่ฝังอยู่ในหน่วยพันธุกรรมของชนชาติไทตั้งแต่ครั้งอพยพจากภูเขาอัลไตมาตั้งถิ่นฐานที่แหลมทองอย่างที่ฝ่ายขวาอนุรักษนิยมไทยจำนวนหนึ่งยังไม่เลิกหัวปักหัวปำ แต่ถูกสร้างขึ้นเมื่อร้อยกว่าปีมานี้ รวมทั้งถูกให้ความหมายปรับเปลี่ยนบิดผันไปตามการเมืองของแต่ละยุคสมัย โดยยังไม่ต้องว่าไปถึงความเป็นไทยนอกคอกที่เกิดขึ้นมาคัดง้างกับความเป็นไทยกระแสหลักที่ครอบงำสังคมไทย
ว่ากันเฉพาะในปัจจุบันนี้ ความเป็นไทยน่าจะมีอยู่อย่างน้อยสามนัยยะใหญ่ๆ อย่างแรกคือความเป็นไทยในฐานะโลกทัศน์ทางวัฒนธรรมที่เป็นขนบทั่วไปของสังคมที่คอยกำกับพฤติกรรมและความรู้สึกนึกคิดทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัวของปัจเจกบุคคล โดยขนบนั้นอาจมีร่องรอยสืบเนื่องมาจากอดีต เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพสังคม หรือเป็นธรรมเนียมที่เพิ่งเกิดใหม่ก็ได้ แต่ถึงจะมีขนบความเชื่อร่วมกัน ปัจจัยเงื่อนไขที่สร้างความต่างระหว่างกลุ่มคนในชาติเดียวกันที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ “ชนชั้น” ด้วย (คนไทยทุกคนจึงมีความเป็น “ไทยๆ” ในตัวมากน้อยแตกต่างกันไป เช่น การมีสัมมาคารวะกับผู้อาวุโส การเรียกบุคคลแบบนับญาติ การมีมโนทัศน์เรื่องกรรม การถือเรื่องหัวกับเท้า ฯลฯ)
อย่างที่สองคือ “ความเป็นไทย” ที่เป็นอุดมการณ์ที่ชนชั้นนำและฝ่ายจารีตนิยมไทยพยายามนิยาม หว่านล้อม และบังคับให้คนในสังคมเชื่อและปฏิบัติตาม รวมทั้งทำให้คนในสังคมคอยเฝ้าระวังเป็นผู้ปกป้องความเป็นไทยนั้นๆ ด้วย (อุดมการณ์ความเป็นไทยแบบนี้ ได้แก่ การจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ ความรักชาติ ความสามัคคี ความศรัทธาในพุทธศาสนา การใช้ภาษาไทยมาตรฐาน การรักนวลสงวนตัว เป็นต้น)
ส่วนวัฒนธรรมที่ปรากฏในทางรูปธรรมต่างๆ จะถูกผนวกหรือติดตราให้เป็นสิ่งแสดงความเป็นไทยหรือไม่แค่ไหนอย่างไร ย่อมขึ้นอยู่กับมโนทัศน์และการเมืองว่าด้วยความเป็นไทยแต่ละแบบแต่ละช่วงเวลาที่จะเป็นตัวไปกำหนด “วัตถุ-สถานที่-เหตุการณ์” อีกทีหนึ่งว่า ผ้าขาวม้า ข้าวแช่ ระนาด เจดีย์ รถตุ๊กตุ๊ก ย่านพัฒน์พงษ์ งานฉลองวันเฉลิมฯ การยืนเคารพธงชาติ การล้อมปราบ-สังหารหมู่ที่ราชประสงค์ คือ “ความเป็นไทย” หรือไม่
และหากจะลองตั้งสมมติฐานว่าวัฒนธรรมการเมืองที่ปฏิบัติซ้ำแล้วซ้ำอีกในลีลาและรูปแบบที่อาจจะทั้งซ้ำและไม่ซ้ำเป็นการแสดงออกของ “จิตวิญญาณ” หรือ “จิตใต้สำนึก” ของสังคมนั้นๆ ทั้งงานฉลองวันเฉลิมฯ การยืนเคารพธงชาติ และการฆ่าประชาชนกลางเมือง รวมทั้งการไม่รู้สึกผิดบาปในใจหรือไม่ยอมรับผิดต่อสาธารณะของชนชั้นนำและผู้มีส่วนในการสนับสนุนหรือเพิกเฉยต่อปฏิบัติการอันไร้มนุษยธรรม ก็ต้องถือเป็นการเผยร่างอันตระการตาของ “ความเป็นไทย” ด้วยเหมือนกัน
นอกจากนี้หากจะมองในแง่ “popular culture” เกือบทุกอย่างที่ปรากฏและดำเนินไปในชีวิตประจำวันในสังคมไทยก็คือ “ความเป็นไทย” เช่นกัน เพียงแต่เป็นความเป็นไทยที่ค่อนข้างจะ “เป็นไปเอง” โดยไม่ได้ถูกควบคุมกำหนดจากชนชั้นนำ และแม้จะมี “เชื้อ” ของความเป็นไทยแบบที่ถูกอบรมปลูกฝัง แต่ก็มี “อิสระ” ในการปรับแปลง สร้างสรรค์ หรือต่อรองกับสถานการณ์ใหม่ๆ ในระดับหนึ่ง ความเป็นไทยแบบ “ชีวิตประจำวันธรรมดา” นี้อาจจะและมักจะไม่ใช่ “ความเป็นไทย” ที่พึงปรารถนาน่าเชิดชูในสายตาของฝ่ายอนุรักษนิยมไทยซึ่งสมาทานและพยายามปรับวัฒนธรรมชนชั้นสูงและวัฒนธรรมเทิดทูนชนชั้นสูงให้เป็นวัฒนธรรมแห่งชาติ (ต้องไม่ลืมด้วยว่า วัฒนธรรมชั้นสูงของไทยมีส่วนผสมของวัฒนธรรมศักดินาและวัฒนธรรมตะวันตก โดยส่วนที่เป็นวัฒนธรรมตะวันตกจะถูกเก็บงำ ไม่ให้ใครรู้ใครเห็น แล้วทำไม่รู้ไม่ชี้ เพื่อจะสร้างวัฒนธรรมตะวันตกเป็นแพะรับบาปให้กับสิ่งที่ถูกถือเป็นความเลวร้ายทั้งมวลที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ทั้งที่ความเลวร้ายเหล่านี้ด้านหนึ่งไม่ใช่ความเลวร้าย และอีกด้านหนึ่งเป็นความเลวร้ายที่เป็นผลพวงจากความเป็นไทยกระแสหลักเอง) เพราะความเป็นไทยแบบชีวิตประจำวันมักจะเป็นความเป็นไทยที่ปะปนกับวัฒนธรรมต่างชาติโลกาภิวัตน์ วัฒนธรรมของสามัญชน และอะไรก็ตามที่ไม่อยู่ในกรอบของวัฒนธรรมแห่งชาติ
เช่น ความนิยมเอาเสากรีก-โรมันไปประดับประดาตามตึกรามบ้านช่องเพื่อแสดงความหรูหรามีระดับหรือสวยงามแบบอินเตอร์นั้นเป็นวิธีคิดแบบ “ไทยๆ” มาก แต่สำหรับนักอนุรักษนิยมไทย เสากรีก-โรมันคือภาพแทนความเป็นตะวันตกที่ตรงข้ามกับความเป็นไทย ตึกรามที่มีเสาต่างด้าวเหล่านี้แปะอยู่จึงแสดงถึงการไม่รักความเป็นไทยที่น่าติเตียน
การชอบติดตั้งและเปิดโทรทัศน์ช่องข่าว-ละคร-เกมโชว์เพื่อแก้เบื่อ ขจัดความเงียบ หรือเพื่อความบันเทิงรวมหมู่ของผู้ปฏิบัติงานและผู้มารับการบริการตามหน่วยราชการ สำนักงานเอกชน ร้านค้า ธนาคาร โรงพยาบาล ฯลฯ ก็เป็นอะไรที่ “ไทยๆ” มากเช่นกัน แม้แต่การใช้ภาษาอังกฤษของคนไทยในสื่อทันสมัยก็เป็นอะไรที่ “ไทยๆ” อีก เพราะต้องเขียนแบบ “Thank you kha” “See you tomorrow krub” “No problem na ja” “Don’t worry ja” “Wait for me duai la kan” etc. ภาษาอังกฤษแบบฝรั่งเป็นอะไรที่ “ห้วนไป” สำหรับการสื่อสารแบบไทยๆ ด้วยภาษาอังกฤษ
ความเป็นไทยๆ แบบ “เป็นไปเอง” ทำนองนี้เป็นความปกติธรรมดาของการไม่อยู่นิ่งของวัฒนธรรมในวิถีชีวิต ไม่ค่อยมีพิษมีภัยใหญ่หลวง แต่ถ้าจะน่ารำคาญ สร้างมลพิษทางภาพและเสียง หรือลดทอนประสิทธิภาพในการทำงาน ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ความเป็นไทยทั้งสามนัยยะนี้จึงมีทั้งความเหลื่อมซ้อนและขัดแย้งเป็นปฏิปักษ์กันอยู่
ความเป็นไทยชนิดที่ก่อปัญหาฉกาจฉกรรจ์ให้กับความเป็นสังคมสมัยใหม่ที่พึงมีอารยะคือความเป็นไทยลักษณะที่กระจุกอยู่ในสองแบบแรก เพราะความเป็นไทย (“อย่างไทยๆ” “แบบไทย” “วัฒนธรรมไทย”) หลายอย่างเหล่านั้นเป็นต้นตอและตัวหล่อเลี้ยงความเบาปัญญา การกดขี่เหยียดหยาม ความเหลวไหลเพ้อเจ้อ ความภาคภูมิใจแบบไร้สติ ความหน้าไหว้หลังหลอก-ปากว่าตาขยิบ ความคับแคบแบบกบในกะลา ความไร้เหตุผล ไปจนถึงความไร้เดียงสาปัญญาอ่อน
เมื่อถึงจุดที่ไม่อาจไปต่อได้อีก สิ่งที่แสดง “ความเป็นไทยที่แท้จริง” ทุกวันนี้ก็คือ “ความรักในความเป็นไทย” และเมื่อสืบสาวไล่เลาะทีละเปลาะไปจนถึงสุดปลายโซ่ เราก็จะพบว่า เมืองไทยเป็นประเทศที่ไม่ได้มีหลักการอันน่าเคารพอะไรทั้งสิ้น ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปอย่างพิกลพิการ อย่างสิ้นคิด อย่างตลบแตลง หรืออย่างโหดเหี้ยมอำมหิต ภายใต้กระโจมแห่ง “ความเป็นไทย-วัฒนธรรมไทย-แบบไทยๆ”
ความเป็นไทยมีเนื้อหาอันเป็นสดมภ์อยู่จำนวนหนึ่งที่ขาดไม่ได้ (ส่วนที่เป็นหัวใจและถูกเน้นย้ำสูงสุด-เพียงแต่เปลี่ยนจุดเน้นตามบริบททางการเมือง-มาตลอดคือ “พระมหากษัตริย์” รองลงมาคือ “พุทธศาสนา” และโดยรวมๆ ก็คือ “ชาติ ศาสน์ กษัตริย์”) ซึ่งถูกสถาปนาเป็น “ความจริงสูงสุด” (หรือ “ระบอบแห่งสัจจะ” ตามที่อ.สายชล สัตยานุรักษ์ บัญญัติและวิเคราะห์แจกแจง) แต่เปิดพื้นที่อันคลุมเครือให้กับการเสกสรรปั้นแต่งและความไม่มีเหตุผลอย่างไม่จำกัดเพื่อใช้ยืนยันค้ำจุนโครงความคิดหลักยืนพื้นเหล่านั้น
โดยทั่วไปแล้ว การจะ “ปั้นแต่ง” อะไรขึ้นมาเพื่อชักจูง ครอบงำ กำหนดทิศทาง และเล็งประโยชน์เฉพาะกาล มักหนีไม่พ้นองค์ประกอบของการ “ยกเมฆ” ประวัติศาสตร์ของการเมืองการสร้าง “ความเป็นไทย” จึงเป็นประวัติศาสตร์แห่งการสร้าง “มายาคติ” เกี่ยวกับชาติไทย คนไทย สังคมไทย วัฒนธรรมไทย ศีลธรรมไทย ไม่ว่าจะการนิยาม “อุปนิสัยใจคอ” ของคนไทยโดยสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพที่เป็นที่รับรู้แพร่หลายว่าประกอบไปด้วย “ความจงรักในอิสรภาพของชาติ ความปราศจากวิหิงสา และความฉลาดในการประสานประโยชน์” หรือการปรับเปลี่ยนอุปนิสัยประจำชาติของคนไทยอันมี “เชื้อแถว” มาตั้งแต่สมัยสุโขทัยโดยหลวงวิจิตรวาทการว่า คนไทยรักความก้าวหน้า มุ่งมั่น มานะอุตสาหะ ขยันหมั่นเพียร หรือการวาดภาพอันงดงามแบบนิทานกล่อมเด็กก่อนนอนให้สังคมไทยเป็นสังคมที่มีพุทธศาสนาค้ำจุน คนไทยมีความเมตตากรุณา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ โอบเอื้ออารี ช่วยเหลือเกื้อกูล สามัคคีปรองดอง
การโยงใยยกเมฆอย่างมีจินตนาการแฟนตาซีของชนชั้นนำอนุรักษนิยมไทยที่ยึดครองอำนาจในการนิยามความเป็นไทยยังทำให้จารึกพ่อขุนรามคำแหงกลายเป็น “รัฐธรรมนูญไทย” ฉบับแรก, ระบอบกษัตริย์แบบไทยๆ มีการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยอยู่แล้วตามหลัก “อเนกนิกรสโมสรสมมติ”, ผู้นำไทยและการปกครองแบบไทยแต่โบราณซึ่งเน้นความเด็ดขาดมีคุณความดีและความชอบธรรมตามระบอบประชาธิปไตยมาแต่ไหนแต่ไร ประเทศไทยจึงไม่จำเป็นต้องมีประชาธิปไตยแบบฝรั่ง และพุทธศาสนาเป็นแหล่งที่มาทางศีลธรรมที่ทำให้เราไม่ต้องมีระบบควบคุมตรวจสอบเอาผิดพระเถระชั้นผู้ใหญ่และผู้เป็นศูนย์กลางในการอุปถัมภ์พุทธศาสนา

ระบอบความคิดแบบเผด็จการอ้างตนเป็นความจริงแท้เหนือทุกสิ่งเสมอ แต่ความจริงในความเป็นจริงกลับเป็นเรื่องตลกย้อนแย้งเสมอเช่นกันเนื่องจากว่า ตัว “ความเป็นไทย” เองคือความไม่มีสำนึกต่อ “ความจริง” “ข้อเท็จจริง” และ “วิธีคิดแบบเป็นเหตุเป็นผล” เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดในความเป็นไทย (ที่ผูกกับอุดมการณ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์อย่างแนบแน่น) คือ “ลำดับชั้นทางอำนาจบารมีและการรู้ที่ต่ำที่สูง” ซึ่งหากความจริงใด ข้อเท็จจริงใด หรือความเป็นเหตุเป็นผลใด มีศักยภาพจะมาบ่อนเซาะลำดับชั้นทางอำนาจนั้น ความจริง ข้อเท็จจริง และความเป็นเหตุเป็นผลนั้นจะต้องถูกฝังกลบหรือบิดเบือนให้หมดเขี้ยวเล็บเสีย
การอำพรางและกดเหยียด “ความจริง” “ข้อเท็จจริง” และ “ความเป็นเหตุเป็นผล” ให้อยู่ใต้คุณค่าอื่นที่สำคัญกว่าในนามของ “ความเป็นไทย” (เช่น การเทิดทูนสถาบันกษัตริย์, ความสามัคคี, ความสงบเรียบร้อย, การเชื่อฟังรัฐ, ระบบอุปถัมภ์, ผู้ใหญ่-ผู้น้อย, ฯลฯ) นี้เองที่เป็นต้นรากของความไร้ซึ่งหลักการ ไร้จรรยาบรรณ และไร้จริยธรรมในสถาบันสมัยใหม่ที่เลียนแบบตะวันตกทุกชนิด ไม่ว่าจะสถาบันตุลาการ, การศึกษา, ระบบราชการ, กองทัพ, สื่อสารมวลชน และอาจจะแม้แต่วิทยาศาสตร์ แม้การรับความเป็นตะวันตกของประเทศที่ไม่ใช่ตะวันตกย่อมผ่านการเลือกสรร-ดัดแปลง-ปรับใช้เป็นเรื่องปกติ แต่ความเป็นไทยเช่นนี้แหละที่ถูกใช้เป็น “ข้อแก้ต่าง-แก้ตัว-ปัดสวะ” ให้กับความไม่สามารถเฉียดใกล้ความถูกต้องทางหลักการและการปฏิบัติ ซึ่งเรียกง่ายๆ ได้ว่า ความเสื่อมทรามและสามานย์
ในประเทศนี้ ถ้าระบบกฎเกณฑ์ การบริหารจัดการ หรือกิจกรรมที่ลอกฝรั่งมาชนิดใดทำแล้วด้อยประสิทธิภาพ เละเทะมั่วซั่ว หรืออีเดียตสุดขีด ก็จะอ้างว่าเพราะเราเป็นแบบไทยๆ ไม่ตามฝรั่ง
ถ้ากระบวนการหรือหลักการที่เลียนแบบตะวันตกใดไร้มาตรฐานและเต็มไปด้วยลักษณะสับปลับ ก็จะอ้างว่าเพราะเราเป็นแบบไทยๆ ไม่ตามฝรั่ง
ถ้าอุดมการณ์ใดที่เอาอย่างโลกสากลถูกใช้อย่างฉ้อฉล บิดเบี้ยว และบิดเบือนสาระสำคัญ ก็จะอ้างว่าเพราะเราเป็นแบบไทยๆ ไม่ตามฝรั่ง
ถ้าการกระทำใดละเมิดเสรีภาพ ไร้มนุษยธรรม ขาดมโนธรรมสำนึก เลี่ยงความรับผิดชอบ กดขี่ข่มเหง ปรักปรำ บังคับขืนใจ และเลือกปฏิบัติในนามของความถูกต้องชอบธรรมตามธรรมเนียมประเพณี ก็จะอ้างว่าเพราะเราเป็นแบบไทยๆ ไม่ตามฝรั่ง
ความเป็นไทยๆ เยี่ยงนี้จึงมิใช่อะไรอื่น แต่คือความปลิ้นปล้อน มือถือสากปากถือศีล และไร้ซึ่งความละอาย
รู้อยู่แก่ใจกันดีว่า สถาบัน องค์กร หน่วยงาน แทบทุกประเภทในเมืองไทยทั้งจำเป็นและติดนิสัยประจบสอพลอ หรือสามารถถูกแทรกแซงจากอำนาจที่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธได้แทบทุกเมื่อ หลักการอันสูงส่งของสถาบันองค์กรหน่วยงานต่างๆ ล้วนกลายเป็นสโลแกนเก๊ๆ เมื่อต้องเผชิญกับ “อำนาจบาตรใหญ่” บนยอดปีระมิดวัฒนธรรมไทย
ถ้าในที่สุดแล้วไม่มีข้อแก้ตัวใดที่ฟังขึ้น ก็จะอ้าง “ความจงรักภักดี” ซึ่งเป็นคุณสมบัติและตัวนิยาม “ไม้ตาย” ของความเป็นไทยในปัจจุบัน ในเมืองไทย ทุกอย่างต้อง “รับใช้” ความเป็นไทย และความเป็นไทยอยู่ “เหนือ” ทุกอย่าง
ดังที่เห็นและเป็นอยู่ ความเป็นไทยฉบับราชการ/อนุรักษนิยมเป็นปฏิปักษ์ต่อหลักการและคุณค่าสากลทุกชนิดที่มนุษย์และสังคมสมัยใหม่ควรยึดถือ
ความเป็นไทยคือการยอมรับโดยศิโรราบในโครงสร้างระเบียบแบบแผนและความสัมพันธ์ทางสังคมแนวดิ่ง, ความเป็นไทยรังเกียจสิทธิเสรีภาพ, ความเป็นไทยเกลียดชังความเสมอภาค, ความเป็นไทยดูถูกสิทธิมนุษยชน, ความเป็นไทยดูหมิ่นประชาธิปไตย, ความเป็นไทยไม่อนุญาตและไม่มีความอดทนให้กับการโต้แย้ง การเรียกร้อง และการแสดงความรู้ดีกว่าจากคนชั้นต่ำและคนต่างชาติ, ความเป็นไทยไม่แยแสความเป็นธรรม, ความเป็นไทยไม่สามารถทนทานการตรวจสอบวิพากษ์วิจารณ์ได้, ความเป็นไทยเกลียดกลัวความรู้และความจริงนอกระบอบโฆษณาชวนเชื่อความเป็นไทย, ความเป็นไทยไม่ถูกชะตากับความเป็นเหตุเป็นผล, ความเป็นไทยไม่ยี่หระกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เพราะในเมื่อมนุษย์เกิดมาไม่เท่ากัน จะมีศักดิ์ศรีเท่ากันได้ไง
ความเป็นไทยเชื่อมั่นในคนดีที่ความเป็นไทยออกใบรับรอง แต่ไม่เชื่อมั่นในการตรวจสอบคนดี เพราะความเป็นไทยเองซึ่งดีวิเศษมหัศจรรย์ที่สุดก็ห้ามตรวจสอบ, ความเป็นไทยหวาดระแวงและต่อต้านความเป็นตะวันตก, ความเป็นไทยไปกันไม่ได้กับอุดมการณ์เสรีประชาธิปไตยหรือสังคมนิยม แต่เข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับระบอบเผด็จการ, ความเป็นไทยขยะแขยงการเมืองแห่งการจัดสรรอำนาจและผลประโยชน์ เพราะความเป็นไทยต้องการกำหนดเองว่าใครควรได้หรือไม่ได้อำนาจและผลประโยชน์, ความเป็นไทยให้สิทธิธรรมอันเปี่ยมล้นกับชนชั้นนำตามจารีตและสมุนบริวารเป็นผู้กำหนดทิศทางและความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย แต่ห้ามไม่ให้ประชาชนสะเออะเป็นผู้กำหนดเอง, ความเป็นไทยอนุโมทนาในทุนนิยมและบริโภคนิยมของชนชั้นสูง แต่สาปแช่งทุนนิยมและบริโภคนิยมของชนชั้นล่าง, ความเป็นไทยยินดีเพิ่ม บำเรอ ถวายอภิสิทธิ์ให้กับอภิสิทธิ์ชน และยินดีลด ริบ ละเมิดสิทธิพื้นฐานของสามัญชน
ความเป็นไทยเป็นเรื่องธรรมชาติอยู่ในสายโลหิตก็จริงอยู่แต่ไม่ได้เปิดกว้างต่อคนไทยทุกกลุ่มทุกคน ดังนั้นคนไทยทุกกลุ่มทุกคนต้องรู้จักสวามิภักดิ์ ปรับตัว หรือกลับตัวกลับใจให้เข้ากับความเป็นไทยเอง, ความเป็นไทยกระสันต์ให้โลกสากลยอมรับความเป็นไทย แต่ความเป็นไทยไม่ยอมรับโลกสากลที่ขัดกับความเป็นไทย, ความเป็นไทยอยากไม่เหมือนใครและเหนือกว่าใครในโลกหล้า, ความเป็นไทยมุ่งมั่นประณามและกวาดล้างความไม่เป็นไทยของคนไทย ในขณะที่เอื้ออาทร พร้อมรับ และชมเชยการ “เข้ารีต” ความเป็นไทยของคนต่างชาติจากประเทศโลกที่หนึ่ง, ความเป็นไทยไม่เคยรู้สึกผิดบาปกับความชั่วร้ายที่กระทำในนามของความเป็นไทย, ความเป็นไทยให้อภัยกับสิ่งที่มิอาจให้อภัยได้, ความเป็นไทยรักความสงบเรียบร้อยแต่เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและขจัดความกระด้างกระเดื่องต่อความเป็นไทย ความเป็นไทยมีความชอบธรรมที่จะออกใบอนุญาตฆ่าได้ทุกเมื่อ, ความเป็นไทยไม่มีปัญหาเลยกับความรุนแรงเชิงกายภาพและเชิงโครงสร้างจากบนลงล่าง แต่จะมีปัญหามากหากเกิดจากล่างขึ้นบน และจะมีปัญหามากที่สุดหากมีการกล่าวหาว่าความเป็นไทยคือความรุนแรง
สุดท้ายนี้โปรดเข้าใจและเห็นใจกันหน่อยว่า ความเป็นไทยจำเป็นต้องก่อกรรมทำเข็ญและโหดเหี้ยมอำมหิตในบางครั้งเพื่อพิทักษ์รักษาความเป็นไทย
ด้วยเหตุที่ความเป็นไทยเป็นศัตรูกับความมีอารยะและความเจริญก้าวหน้า ความเป็นไทยจึงเป็นมิตรได้แต่กับความดักดานเท่านั้น
ขออัญเชิญไปลงนรกเสียเถิด “ความเป็นไทย”

ขอบคุณที่มา : ประชาไทย

คันหู...ไม่รู้เป็นอาร้ายยย: การโซนนิ่งศีลธรรมอันดีของสังคมไทย

เรื่อง : รุ้งรวี ศิริธรรมไพบูลย์

คันหู้...คันหูค่ะ ผู้อ่านที่รัก ที่ ‘คัน’ เนี่ย ไมได้ไปทำอะไรมาหรอกนะคะ เพิ่งกลับจากสิงคโปร์ค่ะ แล้วทุกครั้งที่ขึ้นเครื่อง ลงเครื่อง ความกดอากาศที่เปลี่ยนแปลงมันทำให้รู้สึกเหมือนแก้วหูจะแตก หูอื้อไปนานพอสมควร แถมยังคันหูยิบๆ ตามมาอีกหลายวัน ไม่รู้มีใครเป็นเหมือนกันหรือเปล่า
ไปสิงคโปร์คราวนี้ (ในขณะที่หลายคนเกือบเหยียบกันตายเพราะไปต่อคิวซื้อไอโฟนครึ่งราคา และวันนี้ 9 ก.ย. Uniglo ก็จะเปิดให้คนทั่วไปช้อปอย่างเป็นทางการวันแรก ดิฉันก็เพิ่งไปช้อป Lanvin Heart H&M ที่สิงคโปร์มา) ทำให้ตกข่าว พลาดเรื่องเด็ดๆ ไปตั้งหลายเรื่อง แต่จะมีเรื่องอะไรที่จะดราม่าไปกว่าเรื่องน้องจ๊ะ คันหู (ตกลงน้องเขาชื่ออะไรนะคะ ? เอาเป็นว่าเรียกน้องจ๊ะ คันหูแล้วกัน) ที่ไปออกรายการวู้ดดี้เกิดมาคุยนั้นไม่มีอีกแล้ว ได้ข่าวว่าเว็บบอร์ดหลายๆ ที่ถล่มทลายด้วยกระทู้น้องจ๊ะเลยทีเดียว เช็คเฟซบุ๊กก็เห็นมีแต่คนโพสเรื่องนี้ แต่ไม่มีโอกาสได้อ่านจริงๆ จังๆ เพราะมัวแต่ช้อปปิ้งอยู่ กลับมาถึงเมืองไทยต้องมานั่งอ่านข่าวย้อนหลังจนตาแฉะ และพบว่า
ดราม่าเอย...จงซับซ้อนขึ้นไปอีก!
ประชาไท บันเทิง: คันหู...ไม่รู้เป็นอาร้ายยย : การโซนนิ่งศีลธรรมอันดีของสังคมไทย
จ๊ะ เทอร์โบ เจ้าของเพลง "คันหู"
รายการวู้ดดี้เกิดมาคุยเชิญน้องจ๊ะคันหูและแขกรับเชิญคนอื่นๆ มาร่วมรายการเพื่อวิพากษ์วิจารณ์กระแสความดังของเพลงคันหู ทั้งตัวเนื้อเพลง (ที่ไม่ใช่เพลงออริจินัลของเธอเอง) การแสดง และท่าเต้นของเธอ ที่กลายเป็น ‘ปรากฏการณ์’ เพลงที่ไม่ได้ออกขาย แต่มีให้ฟังและดูในยูทูบที่ดังที่สุดก็ว่าได้ ความดังของเธอและเพลง ‘คันหู’ ไม่ได้มีอยู่แค่ในสังคมโซเชียลเน็ตเวิร์กเท่านั้น แต่มันยังลามออกมาถึง ‘ข้างนอก’ ด้วย ความอัศจรรย์ของเพลงนี้ก็คือมันไม่ได้ถูกเปิดออกอากาศในรายการวิทยุ ไม่มีมิวสิค วิดีโอให้ดูทางโทรทัศน์ ไม่มีเทป ซีดี ของศิลปินออกขาย แต่เราล้วนรู้จัก (อันนี้เคลมแบบหยาบๆ นะคะ) เพลง ‘คันหู’ กันถ้วนทั่ว วลี ‘คันหู’ ก็กลายเป็นคำที่นำมาล้อเล่นในสังคมปัจจุบัน ซึ่งก่อนหน้านั้นเรามีคำว่า ‘คัน’ เฉยๆ ใช้บอกอาการเช่นนั้นอยู่ ไม่รู้ว่าด้วยเหตุที่คนทั่วไปรู้จักเพลงนี้หรือเปล่า รายการวู้ดดี้เกิดมาคุยจึงสามารถ ‘เคลม’ ได้ว่าเป็นเรื่องที่นำมาถกเถียงพูดคุยได้ เพราะทุกคนรับรู้เข้าใจว่า ‘น้องจ๊ะ คันหู’ และเพลง ‘คันหู’ คืออะไร
หลังจากรายการออกอากาศไปแล้ว กระแสการวิพากษ์วิจารณ์ (ที่เขาบอกกันว่าพิธีกรเป็นคนวิพากษ์วิจารณ์เสียมากกว่า) ยังไม่จบเพียงเท่านั้น เมื่อตัวรายการและพิธีกรเองกลับโดนวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมในการตั้งคำถาม ท่าที และคำพูดคำจาที่ใช้ในการสัมภาษณ์ผู้ร่วมรายการ โดยเฉพาะน้องจ๊ะคันหู ซึ่งคนที่ได้ดูรายการในคืนนั้น (หรือย้อนหลังทางยูทูบ) ต่างก็มีปฏิกริยารุนแรงต่อการสัมภาษณ์ของวู้ดดี้ พิธีกรในรายการ ยกตัวอย่างเช่น การเกิดขึ้นของแฟนเพจในเฟซบุ๊กที่ชื่อว่า ‘มั่นใจคนไทยเกินล้านคนอยากต่อยวู้ดดี้’ ตามมาด้วยกระทู้ในเว็บไซต์พันทิป ที่กลายเป็นกระทู้แนะนำในพริบตา ไม่ว่าจะเป็น ‘ขอประณามรายการวู้ดดี้อย่างเป็นทางการ’ ‘ขออนุญาตหยาบคาย อยากถีบทีวีเพราะรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย’ ‘สงสารจ๊ะ คันหู เหมือนเอาเค้ามานั่งด่า!!!!’ ‘น้องจ๊ะสู้ๆ นะจ๊’ ‘ให้กำลังใจน้องจ๊ะคันหูครับ’ ‘ขอประณามรายการวู้ดดี้เกิดมาคุยในฐานะสื่อเพื่อสังคมค่ะ’ ‘อยากให้คุณวู้ดดี้ออกมาขอโทษกับการกระทำในคืนนี้’ ‘สงสารน้องจ๊ะตกเป็นเหยื่อวู้ดดี้’
โดยกระทู้และข้อความแสดงความคิดเห็นส่วนใหญ่มุ่งแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ไปที่ตัวพิธีกรรายการ วู้ดดี้ มิลินฑจินดา โดยมีประเด็นที่พอจะสรุปได้ประมาณนี้
  1. ตัวพิธีกรไม่ให้เกียรติแขกรับเชิญด้วยการตั้งคำถามที่รุนแรงและดูถูก
  2. เหมือนเป็นการเชิญแขกรับเชิญมานั่งด่า ถูกรุมกินโต๊ะ ทั้งๆ ที่รู้ว่าอะไรคืออะไร
  3. มุ่งแต่จะสร้างกระแสให้รายการโดยไม่ดูถึงความเป็นจริงของสังคม
  4. มันเป็นการแสดง เป็นการเอนเตอร์เทนเมนต์
  5. น้องจ๊ะทำงานสุจริต เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง พ่อแม่พี่น้อง
  6. ปัญหาสังคมเรื่องแบบนี้มีเยอะกว่าอีก ทั้งเว็บโป๊ หนังสือโป๊ ดาราแต่งตัวโป๊ ซึ่งในอินเตอร์เน็ตก็มีสื่อลามกมากกว่า และโจ่งแจ้งกว่าน้องจ๊ะด้วยซ้ำไป
  7. เป็นเรื่องธรรมดาของสังคม
  8. เพลงลูกทุ่งก็มีลักษณะเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร
ส่วนคอมเมนต์ทั้งหลาย จะดุเด็ดเผ็ดมันส์แค่ไหน เชิญหาอ่านกันเองตามสะดวกนะคะ มันเยอะมากจนไม่ไหวจะ
คัดลอกมาให้อ่าน นั่นคือส่วนที่ให้กำลังใจและประณามตัวรายการ และพิธีกร มาดูกระแสโต้กลับกันบ้าง อย่างว่านอกจากมีคนเห็นด้วย ก็ย่อมมีคนเห็นต่างตามประสาสังคมประชาธิปไตย (แต่อย่าแห่ออกมาเห็นต่างบนถนนนะคะ เดี๋ยวจะโดนยิงตายได้) โดยสรุปความเห็นอีกด้าน ในกรณีน้องจ๊ะคันหูกับรายการวู้ดดี้เกิดมาคุยเป็นข้อๆ ดังนี้
  1. ทำลายเพลงลูกทุ่ง
  2. ทำลายเพลงลูกทุ่งในฐานะเป็นศิลปะวัฒนธรรมอันดีของชาติ
  3. ลามกอนาจาร
  4. กลัวเป็นเยี่ยงอย่างของเด็กและเยาวชน
  5. ไม่ควรนำเสนอผ่านสื่อกระแสหลักในทีวี (แม้กระทั่งเชิญมาสัมภาษณ์)
  6. น้องจ๊ะอยากดัง
  7. เสื่อม (ทั้งตัวน้องจ๊ะ ซึ่งทำให้สังคมเสื่อมทรามไปด้วย)
เช่นกันค่ะ ข้อความคอมเมนต์ต่างๆ นั้นดุเด็ดเผ็ดมันส์มาก โดยเฉพาะการตอบโต้กันไปมาระหว่างความคิดสองชุด
คือความดีงามของสังคมกับความเป็นจริงของสังคม อ่านไปอ่านมาจนตาแฉะหลายพันคอมเมนต์จนเรื่องซาๆ เหมือนจะได้ข้อสรุปแห่งการปรองดองสมานฉันท์ทางความคิดของผู้คนที่ตอบโต้กันไปมาในเว็บบอร์ดและสังคมส่วนอื่นๆ ว่า
  1. น้องจ๊ะผิด ที่ทำ ‘มาก’ เกินไปหน่อย ส่อไปทางลามกอนาจาร ซึ่งข้อแก้ตัวใดๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำมาหากิน หรือความจน หรืออยากดังก็ฟังไม่ขึ้น
  2. ตัวพิธีกรก็ผิด เพราะหยาบคาย รุนแรง และดูถูกแขกรับเชิญ
  3. แม้เรื่องนี้จะมีปรากฏในสังคมไทยจริง แต่ก็ไม่ควรได้รับการเผยแพร่โดยเฉพาะในสื่อกระแสหลัก เพราะถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ ‘ดีงาม’
โอ้...มันช่างเป็น ‘กลาง’ สมานฉันท์ เสียกระไร สุดท้ายโดนด่าทุกข้างทุกฝ่าย ทั้งมุมแดงและมุมน้ำเงิน และสังคมไทย
ก็จะดีงามสร้างสรรค์ต่อไป !!! อาจเป็นเพราะการเมืองยังไม่นิ่ง หรือว่ารัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมกำลังดูท่าที ดูกระแสอยู่ว่าจะเลือกข้างไหนดี (เพราะแรกๆ กระแสเชียร์น้องจ๊ะมาแรงมาก หลังๆ น้องจ๊ะเริ่มถูกวิพากษ์วิจารณ์กลับ) หลังจากที่ปล่อยบทความเรื่อง ‘เลี้ยงลูกอย่างไรให้มีวัฒนธรรม’ ออกมาให้คนเขาด่า เขาขำกันทั้งบ้านทั้งเมือง จึงยังไม่เห็นปฏิกิริยาของกระทรวงวัฒนธรรมต่อกรณีนี้ แต่บางทีก็อาจจะพูดได้ว่ารู้สึกโล่งใจ ที่กระทรวงวัฒนธรรมไม่บ้าจี้ออกโรงมาสั่งแบน สั่งจับ หรือกระทำการใด เหมือนที่ผ่านๆ มา
กรณีของน้องจ๊ะ ทำให้ดิฉันนึกถึงกรณีน้องน้องแนท-เกศรินทร์ ชัยเฉลิมพล เมื่อหลายปีก่อน ในกลุ่มสังคมหนึ่ง (ผู้เสพหนังโป๊ ?) เธออาจเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง แต่ในอีกกลุ่มสังคมหนึ่งเธออาจจะไม่เป็นที่รู้จักเลย จนกระทั่งมาออกรายการทีวี จนกระทั่งถูกหมายจับว่าเล่นหนังเอ็กซ์ จนกลายเป็นข่าวหน้าหนึ่ง ทำให้หลายคนสงสัยว่า เอ๊ะ! น้องแนทเป็นใคร เล่นหนังเรื่องอะไรเหรอ จนเรารับรู้ทั่วกันว่า น้องแนทคือดาราหนังโป๊ชื่อดัง (ซึ่งก่อนหน้านั้นอาจมีหลายคนไม่รู้จักเธอ) เช่นเดียวกันกับกรณีของน้องจ๊ะ แม้หลายคนอาจจะเคยได้ยินเสียงเพลง ‘คันหู’ มาบ้าง ตามสถานที่ต่างๆ หรืออาจเคยสะกิดสะเกากับวลี ‘คันหู’ ที่ถูกนำมาใช้ในสังคม แต่อาจจะไม่รู้จักว่า เพลงคันหูนั้นของใคร ใครร้อง มีที่มาที่ไปอย่างไร จนกระทั่งเธอมาออกรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย และเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ตามมา
ดิฉันคงไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์ว่าใครผิด ใครถูก เพราะเรื่องของศีลธรรมจรรยานั้น คงขึ้นอยู่กับระดับความเข้มข้นของแต่ละคน เหมือนในระดับน้ำตาลในเส้นเลือด จึงได้แต่ตั้งข้อสังเกตจากปรากฏการณ์ดังกล่าวจากบทสรุปความปรอดองในกรณีนี้และหลากหลายความคิดเห็นที่ชวนกระตุกต่อมไร้ศีลธรรมของตัวเอง
โดยเฉพาะในกรณีบทสรุปที่ว่าเรื่อง ‘ไม่ดีงาม’ อย่างนี้ไม่สมควรถูกเผยแพร่ในสื่อกระแสหลัก เพราะมันจะนำความเสื่อมเสียมาสู่สังคม และก่อให้เกิดการเลียนแบบ (จากเยาวชน ?) ประเด็นที่น่าสนใจประเด็นแรกคือ หากโทรทัศน์ฟรีทีวีเป็นสื่อกระแสหลัก ช่องทางทางอินเตอร์เน็ตเป็นสื่อกระแสรองอย่างนั้นหรือ ? เราวัดการเป็นสื่อกระแสหลักกระแสรองของทุกวันนี้อย่างไร ในเมื่อกรณีของน้องจ๊ะนั้นโด่งดังมาจากมาคลิปการแสดงใน ‘ยูทูบ’ ซึ่งเป็นเว็บไซต์ดังในอินเตอร์เน็ต ทั้งๆ ที่ไม่ได้โปรโมทในสื่อกระแสหลักแต่อย่างใด นั่นก็หมายความว่าอินเตอร์เน็ตมีผลกระทบต่อผู้คนส่วนใหญ่ (ในแง่การเผยแพร่ การรับรู้) ไม่แพ้สื่อกระแสหลัก แล้วเหตุอันใดหรือจึงต้องปกป้องสื่อกระแสหลักให้ ‘คลีน’ จากคำว่า ‘สิ่งที่ไม่ดีงาม’ (ซึ่งอยู่ภายใต้การตีความของปัจเจกอีกด้วย) ซึ่งดิฉันไม่ได้หมายถึงแค่กรณีของน้องจ๊ะ แต่ยังรวมไปถึงเรื่องอื่นๆ ที่เกิดก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นการเซนเซอร์ละคร (ดอกส้มสีทอง) บุหรี่ ขวดเหล้า ฯลฯ หรือแม้แต่หนังของเจ้ย-อภิชาติพงษ์ ที่มีฉากคุณหมอจู๋โด่ ซึ่งไม่ได้ฉายทางทีวีด้วยซ้ำไป (และโดนเซ็นเซอร์จนไมได้ฉายในโรงด้วย)
ประเด็นต่อมาคือหากบอกว่าเพราะสื่อกระแสหลักนั้นมีอิทธิพลต่อคนส่วนใหญ่ เพราะคนส่วนใหญ่เข้าถึงได้ง่าย ฟรี และมากกว่าอินเตอร์เน็ต จึงเป็นการป้องกันการเลียนแบบได้ด้วย ก็ทำให้ดิฉันเกิดคำถามขึ้นมาว่า จริงหรือที่คนส่วนใหญ่เสพสื่อผ่านทีวีมากกว่าอิเตอร์เน็ต ถ้าจริง แล้วมีคนกลุ่มใดบ้าง หากจะบอกว่าการยกเรื่อง ‘ไม่ดีงาม’ อย่างกรณีน้องจ๊ะ มาอยู่ในสื่อกระแสหลัก (ดิฉันไม่ได้บอกว่าเราควรให้มีการเปิดคลิปการแสดงของเธอ เช้าเย็นหลังเคารพธงชาติ...โอเค๊ ?) จะเป็นการก่อให้เกิดการเลียนแบบพฤติกรรมอันไม่ดีงามของเยาวชน ซึ่งดิฉันเห็นว่าตรงนี้มันขัดแยงกับความจริงที่เกิดขึ้น เพราะหากบอกว่าอินเตอร์เน็ตนั้นเป็นสื่อเฉพาะ ที่คนเฉพาะกลุ่มสามารถเข้าถึงได้ ซึ่งคนเหล่านั้นต้องมีคอมพิวเตอร์ที่บ้าน ต่ออินเตอร์น็ตได้ แน่นอน...คนกลุ่มนี้ต้องไม่ใช่คนยากคนจนที่คอมพิวเตอร์เป็นของฟุ่มเฟือย และไม่จำเป็นต่อชีวิต ไม่ใช่เด็กๆ ที่ตอนนี้ยังไม่ได้รับแจกแท็บเล็ตพอที่จะเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ ไม่ใช่คนวัยชราที่ไม่ได้เกิดมาในยุคการใช้เทคโนโลยีและใช้ไม่เป็น ไม่ใช่คนไร้การศึกษา ที่ไม่รู้ภาษาอังกฤษ พอที่จะพิมพ์คำว่า www.youtube.com ลงไปบนเบราเซอร์ แล้วหากเรื่องไม่ดีงามเหล่านี้อยู่บนสื่อกระแสหลัก แล้วใครจะเลียนแบบไม่ทราบ เยาวชนเหรอ ? คุณว่าเยาวชนปัจจุบันนี้อายุต่ำสุดที่เข้าอินเตอร์เน็ตไม่เป็นอยู่ที่เท่าไหร่ แล้วเยาวชนชนชั้นกลางที่บ้านมีคอมพิวเตอร์มีตั้งเท่าไหร่
หรือเราจะปกป้องตายายหนังเหี่ยวที่เข้าอินเตอร์เน็ตไม่เป็น ได้แต่ดูทุกอย่างจากโทรทัศน์ และเด็กๆ ตามบ้านนอกคอกนาที่ไม่มีคอมพิวเตอร์ ไม่สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ การที่จะบอกว่าเพราะเรื่องของน้องจ๊ะมันเป็นเรื่องไม่ดีไม่งามที่ไม่ควรนำมาอยู่บนสื่อกระแสหลักอย่างโทรทัศน์ (ไม่ว่าในแง่ใด แม้กระทั่งการนำมาออกรายการในโทรทัศน์) เพราะอาจก่อให้เกิดการเลียนแบบในเรื่องที่ไม่ดีงาม มันเป็นการย้อนแย้ง และเลือกปฏิบัติต่อคนบางกลุ่มหรือเปล่า ?
และยิ่งทำให้เกิดคำถามว่าคำว่า ‘พื้นที่สาธารณะ’ ระหว่างโทรทัศน์และอินเตอร์เน็ตมันมีเส้นแบ่งความแตกต่างอยู่ที่ตรงไหนในประเด็นเรื่องสิ่งดีงาม หรืออยู่ที่โอกาสในการเข้าถึงซึ่งอยู่บนพื้นฐานของชนชั้นทางเศรษฐกิจ ?
จากบทสรุปที่ว่าเรื่องที่ไม่ดีงามไม่ควรอยู่ในพื้นที่สาธารณะอย่างโทรทัศน์ (และอื่นๆ แต่อยู่ในยูทูบ ในอินเตอร์เน็ตได้) รวมถึงการตั้งข้อสังเกตของดิฉันเองที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น นำมาซึ่งข้อสังเกตที่ใหญ่ไปกว่านั้นว่า หลักการการจัดโซนนิ่งทางจริยธรรม ศีลธรรมของสังคมไทยอยู่ตรงไหน ด้วยอุดมการณ์ใด เพื่อคนกลุ่มไหนกันแน่ อย่างที่เรารู้กัน และในหลายๆ คอมเมนต์ที่เกี่ยวกับประเด็นน้องจ๊ะพูดถึงว่า สังคมไทยไม่ได้ข่าวบริสุทธิ์ขนาดนั้น เรามีพัฒพงษ์ มีการขายบริการ ร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ซึ่งเป็นโซนสีเทา (ดิฉันว่าสีสันมากกว่า) ของสังคม ซึ่งทุกๆ คนก็รู้กันอยู่ว่า ‘มีจริง’ แต่เราก็มักจะทำลืมๆ ไปว่ามันมีจริง หรือแอบมันอยู่ในโซนๆ หนึ่ง เราไม่ควรเอาพัฒพงษ์มาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในการประชาสัมพันธ์ของททท. เช่นเดียวกับน้องจ๊ะที่เราปล่อยให้เธออยู่ในยูทูบได้ มีคนเข้าไปดูเป็นล้านๆ คนได้ หรือตามผับบาร์ที่จ้างเธอไปโชว์ได้ แต่อย่าให้มาปรากฏตัวในพื้นที่สาธารณะอย่างโทรทัศน์เชียว ซึ่งจริงๆ เด็กและเยาวชน (ชนชั้นกลางขึ้นไป ทั้งในเมืองและชนบท) สมัยนี้เข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ง่ายจะตายไป และแน่นอนว่าเด็กพวกนี้ใช้อินเตอร์เน็ต และอาจไม่ได้ดูรายการวู้ดดี้เกิดมาคุยด้วยซ้ำไป แล้วเราห่วงใคร หรืออะไรหรือ ?
การขีดเส้นแบ่ง หรือจัดโซนนิ่งทางศีลธรรม ในด้านหนึ่งมันฟ้องถึงความหน้าบางและดัดจริตของสังคมไทย ที่บอกว่าพิธีกรก็ผิด เพราะรุนแรง หยาบคายและไม่ให้เกียรติแขกรับเชิญ และแขกรับเชิญก็ผิดที่แสดงด้วยท่าทีลามกอนาจารซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ดีงามต่อสังคม และไม่ควรถูกนำมาโปรโมทเผยแพร่ในสื่อกระแสหลัก แต่ถ้าฉันอยากดู ฉันจะคลิกเข้าไปดูในยูทูบเอง และถ้าถูกใจ ชื่นชอบก็จะแชร์ในเฟซบุ๊กต่อๆ กัน จนดัง แต่ห้ามหยิบเอาความดังนี้ออกไปจากโลกอินเตอร์เน็ตสู่โลกของทีวีเด็ดขาด เพราะโลกนี้เข้าถึงได้เฉพาะคนบางกลุ่ม ที่เลือกที่จะเข้าถึงเอง (เพราะที่บ้านมีคอมพิวเตอร์ มีไอแพด มีไฮไฟ อินเตอร์เน็ตไฮสปีก 10 เม็ก) การอยู่ในอินเตอร์เน็ตนั้นสังคมไม่ถูกคุกคามด้วยความไม่ดีไม่งามของศีลธรรมจรรยา และเมื่ออยู่ในโทรทัศน์เมื่อไหร่สังคมจะเสื่อมทรามลงทันที เพราะโลกของทีวีนั้นมันสาธารณะเกินไป และส่งตรงไปยังทุกผู้ทุกคน โดยไม่ต้องจ่ายค่าดู แค่จ่ายค่าไฟเท่านั้น (อย่างนั้นหรือ ?) หรือแม้แต่เรื่องอื่นๆ ในสังคม ที่อยู่ร่วมกันได้ แต่อย่าเอามาบอกเล่า หรือทำเป็นประเด็นสาธารณะเด็ดขาด (โดยเฉพาะเรื่องใดที่เกี่ยวกับเพศ เช่น เป็นตุ๊ดเป็นเกย์ไม่เป็นไร แต่อย่าเอามาออกโทรทัศน์ อย่ามามีบทออกพระออกนาง เดี๋ยวเด็กและเยาวชนจะเลียนแบบ แต่เกย์ในแบบเบน ชลาทิศไม่เป็นไร ร้องเพลงเพราะ...ชอบ)
การโซนนิ่งทางศีลธรรมจรรยา จึงเกิดขึ้นโดยอุดมการณ์ของคนกลุ่มหนึ่ง ที่ (หน้าบางและดัดจริต) คิดว่าตัวเองมีความเข้มข้นของศีลธรรมจรรยา และสติปัญญา การศึกษา) มาก (และดี และเป็นกลาง ?) พอ พอที่จะจัดแจงว่าอะไรควรจะอยู่ตรงไหน อยู่อย่างไร ใครบ้างที่จะเข้าถึงได้ ช่องทางไหน อย่างไร และแบบที่ไหนที่เรียกว่าศีลธรรมอันดีของสังคมจะถูกคุมคาม แบบไหนที่อยู่ในเกณฑ์อยู่ร่วมกันได้ แต่ต้องอยู่ในโซนๆ หนึ่ง ปกปิดมันไว้ ไม่ต้องพูดถึง ไม่ต้องนำมาบอก แม้มันจะมีจริง เกิดขึ้นจริง และเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของสังคมจริงๆ ก็ตามที การโซนนิ่งทางศีลธรรมจรรยา จึงไม่แค่การจัดระเบียบทางสังคมเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างบรรทัดฐานทางศีลธรรม จริยธรรมของสังคม โดยใช้เกณฑ์ความเข้มข้นของศีลธรรมจริยธรรมของตัวเองเป็นตัววัด โดยลืมไปว่ามันได้พิพากษา จริยธรรม การศึกษา ระดับความเป็นคนดี แม้กระทั่งการกีดกันและเลือกปฏิบัติ ต่อคนอื่นไปด้วยแล้วในทางกลับกัน...และด้วยความหวังดี
โอ๊ย...ยิ่งเขียนยิ่งคันหู เขียนจบก็ยังไม่หายคันหู...ไม่รู้เป็นอาร้ายยย...

* หมายเหตุ: รูปประกอบจาก http://bk.asia-city.com

ขอบคุณที่มา : ประชาไทย