วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เทคนิคสอนลูก ให้เก่งเลข

พ่อธีร์" แชร์เทคนิคสอนลูก "เก่งเลข" ง่ายนิดเดียว

ปฏิเสธไม่ได้ว่า เด็กไทยส่วนใหญ่กับวิชาคณิตศาสตร์ ยังคงเป็นทางคู่ขนานที่หาทางบรรจบกันได้ยาก สาเหตุหนึ่งเกิดจากทัศนคติที่ว่า คณิตศาสตร์เป็นเรื่องซับซ้อน เข้าใจยาก น่าเบื่อ และไม่สนุก แต่หากพ่อแม่ได้อ่านสิ่งที่ทีมงาน Life and Family นำเสนอต่อไป เชื่อว่าเด็กกับตัวเลขจะค่อย ๆ เขยิบเข้าหากันไม่มากก็น้อย

บอก เล่าได้จาก พ่อธีร์ ปัณณธีร์ ผู้เขียนหนังสือ "คณิตศาสตร์เรื่องง่าย สอนได้ก่อนอนุบาล" เรื่องดังจากเว็บบอร์ดรักลูกที่มีพ่อแม่เข้าไปอ่านเกือบ 200,000 ครั้ง จนนำมาทดลองสอนลูกวัยก่อน 2 ขวบ พบว่า ลูกเก่งเลขจริงอย่างน่าอัศจรรย์

โดยพ่อธีร์ เผยหลักการว่า การสอนให้เด็กเข้าใจ และสนุกกับตัวเลข โดยเฉพาะเด็กก่อนวัยเรียน ถือเป็นหน้าที่สำคัญของพ่อแม่ที่ต้องสอนลูกให้เห็นมากกว่าคิด เพราะการจะทำให้เด็กชอบเลข จินตนาการต้องมาก่อนการเรียนรู้ ซึ่งการสอนในเด็กเล็ก พ่อธีร์แนะว่า ควรเริ่มจากให้เด็กรู้จักสัญลักษณ์ของตัวเลข สอนให้นับ 1-10 สอนให้รู้จักจำนวน สอนเขียนตัวเลขโดยไม่จับดินสอ แต่ใช้นิ้วชี้ลากไปตามตัวเลข แล้วค่อย ๆ เพิ่มความซับซ้อนของเนื้อหาตามความสามารถในการเรียนรู้ของเด็ก

"การ เรียนคณิตศาสตร์ของเด็ก ต้องมีมิติให้เด็กได้ใช้จินตนาการ การที่เด็กคนหนึ่งจะเก่งคณิตศาสตร์ไม่ใช่เด็กที่ตอบได้ว่า 3+4 เท่ากับ 7 แต่เด็กที่เก่งได้ต้องเห็นธรรมชาติ ถ้าจินตนาการไม่มา การเรียนรู้ก็เกิดได้ยาก" พ่อธีร์กล่าว

 พื้นฐานกิจกรรม 4 อย่าง ฝึกลูกสนุกเลข
ดังนั้นจึงสอดรับกับ 4 กิจกรรมพื้นฐานที่พ่อธีร์ออกแบบไว้สำหรับพ่อแม่เพื่อนำไปใช้กับลูกที่บ้าน ง่าย ๆ โดยมีรายละเอียดของกิจกรรมดังต่อไปนี้

1. ทายลูกปัด

เป็น กิจกรรมที่สอนให้ลูกรู้จักจำนวน การเพิ่มการลด วิธีเล่น หยิบลูกปัด หรืออุปกรณ์อื่น ๆ เช่น กระดุมเม็ดใหญ่ ก้อนกรวดทาสี บล็อกไม้ ออกมาจำนวนไม่เกิน 5 เม็ด กี่ลูกก็ได้ แล้วให้ลูกทายแบบลุ้นสุด ๆ เช่น นี่กี่เม็ดลูก ถ้าลูกตอบถูกให้เก็บแล้วหยิบออกมาใหม่ แต่ถ้าลูกตอบผิด เพียงแค่บอกจำนวนที่ถูกต้องไป แล้วหยิบขึ้นมาใหม่ โดยไม่ต้องสอนให้ลูกนับ โดยวัตถุประสงค์ของการทายลูกปัดเพื่อให้เด็กรู้จักจำนวน และฝึกให้เด็กกวาดสายตามองแล้วตอบได้อย่างรวดเร็ว

"ทำไมถึงสอนแบบนี้ ก็เพราะว่ามันเป็นธรรมชาติ การที่เด็กได้เห็นธรรมชาติ เขาไม่ต้องนับ เช่น ลูกสาวผมเวลาเห็นดอกชบา จะบอกได้เลยว่า ดอกชบาส่วนใหญ่มี 5 กลีบ นั่นเพราะเขาเห็นธรรมชาติ มันอยู่ในจินตนาการของเขา ซึ่งต่างกับเด็กที่เจออะไรก็นับ มันทำให้การเรียนรู้ช้า ดังนั้นพ่อแม่ต้องสอนลูกก่อนวัยเรียนให้เห็น มากกว่าคิด เพราะการคิดเดี๋ยวโรงเรียนเขาสอนให้เอง" คุณพ่อธีร์บอก

 2. นับเลขปากเปล่า

เป็นกิจกรรมนับเลขเร็ว หรือจับเวลาให้ลูกนับไม่เกิน 1 นาที เช่น 1-10 เป็นการฝึกความไวของสมองในการนับเลข ถ้าเด็กยังพูดไม่ได้ให้พ่อแม่นับให้ฟังเล่น ๆ ไปก่อน สำหรับเด็กที่พูดได้แล้ว พ่อแม่ควรเล่นกับลูกบ่อย ๆ เช่น นับเดินหน้า นับถอยหลัง หากลูกนับ 1-10 หรือ 10-1 ได้ดีแล้ว ให้ต่อยอดไปเรื่อย ๆ แต่อย่าลืมหัวเราะกับลูกด้วย

 2. นับเลขปากเปล่า
      เป็นกิจกรรมนับเลขเร็ว หรือจับเวลาให้ลูกนับไม่เกิน 1 นาที เช่น 1-10 เป็นการฝึกความไวของสมองในการนับเลข ถ้าเด็กยังพูดไม่ได้ให้พ่อแม่นับให้ฟังเล่น ๆ ไปก่อน สำหรับเด็กที่พูดได้แล้ว พ่อแม่ควรเล่นกับลูกบ่อย ๆ เช่น นับเดินหน้า นับถอยหลัง หากลูกนับ 1-10 หรือ 10-1 ได้ดีแล้ว ให้ต่อยอดไปเรื่อย ๆ แต่อย่าลืมหัวเราะกับลูกด้วย
     
      3. วางเบี้ย
      เป็นกิจกรรมฝึกให้เด็กรู้จักใช้สายตา การมอง และการสัมผัส เพื่อให้เด็กเรียนรู้ตำแหน่งของตัวเลขได้อย่างแม่นยำ
     
      วิธีเล่น
      - เด็กเล็ก เริ่มจากเบี้ยแค่ 5 ตัว คือ เลข 1-5 ก่อน
      - หยิบเบี้ยเลขใดขึ้นมาก็ได้ แล้ววางในช่วงดังกล่าวบนกระดาน ทำจนครบ 5 ตัว
      - วันแรก ๆ คุณพ่อคุณแม่อาจทำให้ลูกดูก่อน ถ้าลูกยังไม่สนใจให้เล่นกันเอง 2 คน ทำท่าทางสนุก ๆ ลูกจะรู้สึกอยากมาเล่นเองภายหลัง
      - จำนวนเบี้ย ใช้จำนวนเท่าที่เด็กสามารถวางได้ภายใน 3 นาทีเป็นหลัก เช่น เด็กสามารถวางเบี้ยเลข 1-20 ได้ภายใน 3 นาที ก็เอาเท่านี้ก่อน เมื่อเด็กทำได้ดีขึ้นเหลือไม่เกิน 2 นาที จึงค่อยเพิ่มจำนวนเบี้ย
      - เพิ่มจำนวนเบี้ยเป็น 10 20 30 ขึ้นไปตามลำดับจนถึง 100 ตัวในที่สุด
      - จดบันทึกเวลา จำนวนเบี้ยที่วาง พัฒนาการ และกุศโลบายล่อหลอกที่ได้ผล
      หมายเหตุ กระดานวางเบี้ย 100 ช่อง ยังไม่มีขายตามท้องตลอด จะดัดแปลงจากกระดานโกะก็ได้ พ่อแม่ลูกสามารถช่วยกันทำเองได้ในราคาประหยัด

 4. การลากนิ้วตามตัวเลข : ให้คุณแม่คุณพ่อ พิมพ์หรือว่าเขียนตัวเลข 1-10 ตัวโต ๆ แล้วก็จับนิ้วลูก ลากตามตัวเลขนั้น ๆ เหมือนเวลาเราเขียน แล้วก็พอลากเสร็จก็ บอกลูกว่า นี่คือเลข หนึ่ง

30 วิธีแสนง่ายในการเลี้ยงลูกให้ฉลาด

30 วิธีแสนง่ายในการเลี้ยงลูกให้ฉลาด

30 วิธีง่ายๆ ต่อไปนี้อาจช่วยขยายไอเดียของคุณ ๆ ได้ หากลูกคุณยังไม่ได้ดั่งใจ แต่อย่างใดก็ตามเด็กก็คือเด็ก เป็นผ้าขาวของสังคม เราต้องเข้าใจธรรมชาติของเขา ก่อนที่จะไปเปลี่ยนแปลงให้เขาเป็นในสิ่งที่เราอยากให้เป็น วิธีต่างๆ เหล่านี้ผ่านการวิเคราะห์ ทดสอบ ทดลอง และสรุปผลมาแล้วจากนักวิชาการว่าใช้ได้ผลดีมาแล้วทั่วโลก

 1.ตามองตา 
เมื่อลูกลืมตาตื่นขึ้น ให้เรามองหน้าสบสายตาหนูน้อยสักครู่ หนูน้อยแรกเกิดจดจำใบหน้าของคนได้เป็นสิ่งแรกเสมอ และใบหน้าของพ่อแม่คือใบหน้าแรกที่ลูกอยากจะจดจำ ซึ่งแต่ละครั้งที่หนูน้อยจ้องมองใบหน้าของเรา สมองก็จะบันทึกความทรงจำไว้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย
 2.พูดต่อสิลูก
เวลาพูดกับลูก เว้นช่องว่างในช่วงคำง่าย ๆ ที่ลูกจะสามารถพูดต่อได้ เช่น พยางค์สุดท้ายของคำ หรือคำสุดท้ายของประโยค ในช่วงแรก ๆ ลูกอาจจะเงียบและทำหน้างง แต่ในที่สุดถ้าทำอย่างนี้บ่อย ๆ ในประโยคซ้ำ ๆ ลูกจะค่อย ๆ จับจังหวะ จับคำพูดบางคำได้ และเริ่มพูดต่อในช่วงว่างที่พ่อแม่หยุดไว้ให้
 3.ฉลาดเพราะนมแม่ 
ให้นมแม่นานที่ สุดเท่าที่จะทำได้ ผลการศึกษาในเด็กวัยเรียนพบว่า เด็กที่กินนมแม่ตอนที่เป็นทารกมักจะมีไอคิวสูงกว่าเด็กที่ไม่ได้กินนมแม่ นอกจากนี้การให้นมลูกยังเป็นช่วงเวลาสำคัญในการสร้างสายสัมพันธ์กับลูกน้อย
 4. ทำตลกใส่ลูก 
แม้กระทั่งเด็กน้อยอายุเพียงแค่ 2 วัน ก็มีความสามารถเลียนแบบการแสดงออกทางสีหน้าอย่างง่าย ๆ ของพ่อแม่ได้ ไม่เชื่อลองแลบลิ้นหรือทำหน้าตาตลก ๆ ใส่ ลูกคุณจะทำตามแน่ ๆ
 5.กระจกเงาวิเศษ 
ทารกน้อยเกือบทุกคนชอบส่องกระจก เขาจะสนุกที่ได้เห็นเงาของตัวเองในกระจกโบกมือหรือยิ้มแย้มหัวเราะตอบออกมาทุกครั้ง
 6.จั๊กจี้ จั๊กจี้
การหัวเราะเป็นจุดเริ่มต้นของพัฒนาการด้านอารมณ์ขัน การเล่นปูไต่ทำให้เด็กเรียนรู้เกี่ยวกับการคาดเดาเหตุการณ์ด้วยว่า ถ้าพ่อแม่เล่นอย่างนี้แสดงว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ปูจะไต่จากไหนไปถึงไหนเป็นต้น
 7.สองภาพที่แตกต่าง 
ถือรูปภาพ 2 รูป ที่คล้ายกันให้ลูกมอง โดยวางให้ห่างจากใบหน้าของลูกประมาณ 8-12 นิ้ว เช่น ภาพรูปบ้านที่เหมือนกันทั้งสองรูป แต่อีกรูปหนึ่งมีต้นไม้ต้นใหญ่อยู่ข้างบ้าน แม้ยังเป็นเด็กทารกแต่เขาสามารถสังเกตเห็นความแตกต่างนี้ได้ เป็นการสร้างความจำที่จะเป็นพื้นฐานในการจดจำตัวอักษรและการอ่านสำหรับลูก ต่อไป
 8.ชมวิวด้วยกัน
พาลูกออกไปเดิน เล่นนอกบ้าน และบรรยายสิ่งที่เห็นให้ลูกฟัง เช่น โอ้โหต้นไม้ต้นนี้มีนกเกาะอยู่เต็มเลย ดูสิลูกบนนั้นมีนกด้วย การบรรยายสิ่งแวดล้อมให้ลูกฟังสร้างโอกาสการเรียนรู้คำศัพท์ให้กับลูก
 9.เสียงประหลาด 
ทำเสียงเป็นสัตว์ประหลาด คุ๊กคู ๆ หรือทำเสียงสูง ๆ เลียนแบบเสียงเวลาที่เด็ก ๆ พูด ทารกน้อยจะพยายามปรับการรับฟังเสียงให้เข้ากับเสียงต่าง ๆ จากพ่อแม่
 10.ร้องเพลงแสนหรรษา 
สร้างเสียงและจังหวะส่วนตัวระหว่างเราและลูกน้อยขึ้นมา เช่น เวลาเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูก ก็ร้องเพลงเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูก อาจจะเป็นกลอนสั้น ๆ แล้วใส่เสียงสูงต่ำแบบการร้องเพลงเข้าไป หรืออีกทางคือเปิดเพลงชนิดต่าง ๆ ให้ลูกฟังบ้าง เช่น บางวันอาจจะเป็นลูกทุ่ง บางวันเป็นเพลงบรรเลง หรือเพลงป๊อปยอดฮิตทั่วไป มีนักวิจัยค้นพบว่า จังหวะดนตรีเกี่ยวพันกับการเรียนรู้คณิศาสตร์ของลูก
11.มีค่ามากกว่าแค่อาบน้ำ
เวลาในการอาบน้ำสอวนให้ลูกรู้จักส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการอาบน้ำ การบรรยายให้ลูกฟังไปด้วยว่ากำลังทำอะไรและจะทำอะไรต่อไปเท่ากับเป็นการสอน คำศัพท์ และช่วยให้ลูกเรียนรู้เกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันไปในตัว
 12.อุทิศตัวเป็นของเล่น 
ไม่ต้องลงทุนซื้อเครื่องเล่นราคาแพงไว้ให้ลูกบริหารร่างกาย เพียงแค่คุณพ่อหรือคุณแม่นอนราบลงไปบนพื้น และปล่อยให้หนูพยายามคลานข้ามตัวไป แค่นี้ร่างกายของคุณพ่อคุณแม่ก็จะกลายเป็นสนามเด็กเล่นที่ราคาถูกที่สุด และสนุกที่สุดสำหรับหนูน้อยได้พัฒนากล้ามเนื้อให้ทำงานสัมพันธ์ และเรียนรู้เรื่องการแก้ปัญหาไปพร้อมกัน
 13.พาลูกไปช็อปปิ้ง 
นาน ๆ ครั้งพาลูกน้อยไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาเก็ตด้วยก็ไม่เสียหาย ใบหน้าผู้คนอันหลากหลาย รวมถึงแสง สี เสียง ในห้างสรรพสินค้า คือ สิ่งบันเทิงใจสำหรับหนูน้อยเชียวล่ะ
 14.ให้ลูกมีส่วนร่วม 
พยายามให้ลูกได้มีส่วนร่วมในกิจวัตรต่าง ๆ เช่น ถ้ากำลังจะปิดไฟก็อาจจะบอกลูกว่า แม่กำลังจะปิดแล้วนะ เสร็จแล้วจึงกดปิดสวิชต์ไฟ นี่จะเป็นการสอนให้ลูกเรียนรู้เกี่ยวกับเหตุและผล ลูกน้อยจะเรียนรู้ว่าเมื่อคุณแม่กดสวิชต์ หลอดไฟจะปิดเป็นต้น
 15.เสียงและสัมผัสจากลมหายใจ
ช่วยให้ลูกน้อยกระปรี้กระเปร่าขึ้นด้วยการเป่าลมเบา ๆ ไปตาม ใบหน้า มือ แขน หรือท้องของลูก หาจังหวะในการเป่าของตัวเอง เช่น เป่าเร็ว ๆ สลับกับช้า หรือเป่าแล้วตามด้วยเสียงต่าง ๆ ตามแต่จินตนาการของคุณพ่อคุณแม่ แล้วรอดูปฏิกริยาตอบสนองจากลูก
 16.ทิชชู่หรรษา 
ถ้าลูกชอบดึงกระดาษทิชชู่ออกจากม้วน ปล่อยเขาค่ะ อย่าห้าม แต่อาจใช้กระดาษทิชชู่ม้วนที่เราใช้ไปพอสมควรแล้ว จนเหลือกระดาษอยู่เพียงเล็กน้อย เพราะการที่เด็กน้อยได้ขยำหรือขยี้กระดาษให้ยับย่น หรือพับให้เรียบนั้นเป็นการฝึกประสาทสัมผัสและการใช้มือของลูกเป็นอย่างดี
 17.อ่านหนังสือให้ลูกฟัง
การอ่านหนังสือ ช่วยให้ลูกเรียนรู้เรื่องภาษาได้จริง ๆ มีผลการวิจัยออกมาว่า แม้กระทั่งเด็กอายุ 8 เดือน สามารถเรียนรู้จดจำการเรียงลำดับคำในประโยคที่ผู้ใหญ่อ่านให้ฟังซ้ำ 2-3 ครั้งได้ ดังนั้น ควรจัดเวลาในแต่ละวันอ่านหนังสือให้ลูกฟังเป็นประจำ
 18.เล่นซ่อนหาจ๊ะเอ๋ 
การเล่นจ๊ะเอ๋นี้นอกจากจะทำให้ลูกหัวเราะแล้ว ยังช่วยให้ลูกเรียนรู้ว่าเมื่อสิ่งของหายไปแล้วสามารถกลับคืนมาได้อีก
 19.สัมผัสที่แตกต่าง 
หาสิ่งของที่มีผิวสัมผัสแตกต่างกัน เช่น ผ้าไหม ผ้าขนสัตว์ ไม้ หรือผ้าฝ้าย ค่อย ๆ นำพื้นผิวแต่ละอย่างไปสัมผัสแก้ม เท้า หรือท้องลูกเบา ๆ ระหว่างนี้คุณพ่อคุณแม่ก็บรรยายให้ลูกฟังไปด้วยว่าความรู้สึกเมื่อถูกสัมผัส เป็นอย่างไร เช่น นี่จั๊กจี้นะลูก ส่วนอันนี้นุ๊ม นุ่ม ใช่ไหม เป็นต้น
 20.ให้ลูกผ่อนคลายและอยู่กับตัวเองบ้าง
ให้เวลาประมาณ 5-10 นาที ในแต่ละวัน นั่งเงียบ ๆ สบาย ๆ กับลูกน้อยบนพื้นบ้าน ไม่ต้องเปิดเพลง เปิดไฟ หรือเล่นอะไรกัน ปล่อยให้ลูกได้สำรวจสิ่งต่าง ๆ ตามใจชอบ คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องไปยุ่งกับลูกเลยและรอดูว่าใช้เวลาสักเท่าไรหนูน้อยจึงจะ คลานมาขอเล่นกับคุณพ่อคุณแม่อีกครั้ง นี่เป็นการฝึกความเป็นตัวของตัวเองให้ลูกขั้นแรก
 21.ทำอัลบั้มรูปครอบครัว
นำรูปภาพของ ญาติ ๆ มาใส่ไว้ในอัลบั้มเดียวกัน และนำออกมาให้ลูกดูบ่อย ๆ เพื่อให้จดจำชื่อญาติแต่ละคน แล้วเวลาที่คุณปู่ หรือคุณย่าโทรศัพท์มา ก็นำรูปท่านออกมาให้ลูกดูพร้อมกับที่ให้ลูกฟังเสียงของท่านจากโทรศัพท์ไป ด้วย
 22.มื้ออาหารแสนสนุก 
เมื่อถึงเวลาที่ลูกสามารถกินอาหารเสริมที่หลากหลายมากขึ้นได้แล้ว อย่าลืมจัดอาหารของลูกให้มีชนิด ขนาดและพื้นผิวที่หลากหลาย เช่น มีทั้งผลไม้ชิ้นเล็ก เส้นพาสต้า มักกะโรนี หรือซีเรียล ปล่อยให้ลูกน้อยใช้มือจับอาหารถ้าลูกอยากทำ เป็นการฝึกใช้นิ้ว และฝึกใช้ประสาทสัมผัสเมื่อได้สัมผัสกับอาหารที่มีลักษณะแตกต่างกัน
 23.เด็กชอบทิ้งของ 
บางครั้งดูเหมือนเด็กชอบทิ้งของลงพื้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า พฤติกรรมนี้เกิดจากเด็กทดสอบเรื่องแรงโน้มถ่วงว่าจะตกลงสู่พื้นทุกครั้งหรือไม่
 24.กล่องมายากล
หากล่องหรือ ตลับที่เหมือนกันมาสักสามอัน แล้วซ่อนของเล่นชิ้นโปรดของลูกไว้ในกล่องใบหนึ่ง สลับกล่องจนลูกจำไม่ได้ แล้วให้ลูกค้นหาของเล่นชิ้นนั้นจนเจอ นี่เป็นเกมฝึกสมองอย่างง่ายสำหรับเด็ก
25.สร้างอุปสรรคเล็ก ๆ น้อย ๆ
กระตุ้นทักษะ การทำงานของกล้ามเนื้อให้ลูก โดยนำเบาะ โซฟา หมอน กล่อง หรือของเล่นวางขวางไว้บนพื้น แล้วพ่อแม่ก็แสดงวิธีคลานข้าม ลอด หรือคลานรอบ ๆ สิ่งกีดขวางเหล่านี้ได้อย่างไร
26.เลียนแบบลูกบ้าง
เด็กชอบให้พ่อ แม่ทำอะไรตามเขาในบางครั้ง เช่น เลียนแบบท่าหาวของลูก แกล้งดูดขวดนมของลูก ทำเสียงเลียนแบบเวลาที่ลูกส่งเสียงอ้อแอ้ หรือคลานในแบบที่ลูกคลาน การทำอย่างนี้กระตุ้นให้ลูกแสดงกิริยาท่าทางต่าง ๆ ออกมา เพราะอยากเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของพ่อแม่ นี่คือก้าวแรกของลูกสู่การมีความคิดสร้างสรรค์
27.จับใบหน้าที่แปลกไป 
ลองทำหน้าตาแปลก ๆ เช่น ขมวดคิ้ว แยกเขี้ยว แลบลิ้นให้ลูกดู เวลาลูกเห็นพ่อแม่ทำหน้าตาตลก หนูน้อยจะอยากลองจับ ปล่อยให้ลูกได้ลองจับต้องใบหน้าของพ่อแม่ แล้วสร้างเงื่อนไขบางอย่างขึ้นมา เช่น ถ้าลูกจับจมูกจะทำเสียงแบบนี้ ถ้าจับแก้มจะทำเสียงอีกแบบหนึ่ง ทำแบบนี้ 3-4 รอบ แล้วจึงเปลี่ยนเงื่อนไขไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ลูกแปลกใจ
28.วางแผนคลานตามกัน 
ลองคลานเล่นไปกับลูกให้ทั่วบ้าน คลานช้าบ้าง เร็วบ้างและหยุดหรือพ่อแม่อาจจะวางของเล่นที่น่าสนใจ หรือจัดบ้านในบางมุมให้แปลกไปก่อนที่จะมาคลานเล่นกับลูกเพื่อไปสำรวจตามจุด ต่าง ๆ ที่จัดไว้ตามแผน
29.เส้นทางแห่งความรู้สึก
อุ้มลูกน้อย เดินไปทั่วบ้านในวันฝนตก จับมือลูกไปสัมผัสหน้าต่างที่เย็นชื้น หยดน้ำที่เกาะบนใบไม้ ต้นไม้ หรือสิ่งของอื่น ๆ ในบ้านที่จับต้องได้อย่างปลอดภัย เป็นการเปิดประสาทสัมผัสของลูกสู่ความรู้สึกต่าง ๆ เมื่อได้แตะต้องสิ่งของเย็น เปียก หรือความลื่น
30.เล่าเรื่องของลูก
เลือกนิทาน เรื่องโปรดของลูก แต่แทนที่จะเล่าอย่างที่เคยเล่า ลองใส่ชื่อของลูกลงไปแทนที่ชื่อตัวละครตัวสำคัญของเรื่อง เพื่อให้หนูน้อยรู้สึกแปลกใจและสนุกสนานไปกับชื่อของตัวเองในนิทาน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
นิตยสาร at office issue 55 August 2008 p.30-34
โดย เป๊กกี้
ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต