วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

กรุ๊ปเลือดไหนเป็นคนแบบใด


นิยามของคนแต่ละกรุ๊ปเลือด 


 

              O        กวนตีน ชิล ๆ


               B        โผงผาง จริงใจ 


               A         จุกจิก เนี๊ยบ 


               AB      ประหลาด ลึกลับ

 

 

Group 'O' 

เริ่มจากรุ๊ปนี้ก่อน เลย คนกรุ๊ปโอไม่ต้องตกใจว่าทำไม เราเป็นคนที่มีนิสัยชิล 
มันไม่ได้เกิด จากคุณเอง เกิดจากเผ่าพันธ์ ยีนของคุณ  กรุ๊ปโอมักจะชิลกับตนเองเสมอ 
มาสายมากถึงมากที่สุดเวลานัด กันกับคนอื่นอื่น โดนรบกวนได้ง่ายจากปัจจัยภายนอก 
เช่น อยากอาบน้ำร้อนก่อนในวัน ฝน ตกไม่งั้นไม่ออกจากบ้าน 
ขออ่านการ์ตูนก่อน อีกสิบหน้าจะจบแล้ว 
รอ ฝน มันซากว่านี้แล้วกันค่อยออกแม้จะไปอีกทีสายแล้ว ก็ไม่เป็นไร 

กรุ๊ป โอ เป็นพวกไม่มีไฟแล้วทำอะไรไม่ได้ จะนอนอยู่กับบ้านได้ทั้งวัน 
แต่ถ้า วันนึงมีความฝันที่ต้องทำ มีกิเลสที่ตัวเองต้องการ 
จะทำสุดชีวิตแบบถึง เช้าถึงเที่ยงคืนก็ทำได้ ไม่หลับไม่นอน 

ความรัก กรุ๊ปโอจะเป็นพวกรักนานๆ ไปเรื่อยๆไม่หวือหวา พวกกรุ๊ปโอ จะเป็นคนไว้ใจคนยาก 
แต่ถ้ารู้จักกันไปแล้วก็จะติดเพื่อน ติดแฟนอย่างแยกไม่ออก 
เวลากรุ๊ปโอมาเจอกับกรุ๊ปโอกันเองจะจูนยาก เพราะจะดูๆกันก่อน 
กรุ๊ปโอเป็นพวกจะคบใครจะค่อยๆดู พอเจอโอกันเองเลยดูกันนาน 
แต่พอคบไปเรื่อยๆจะสนิทกันมากที่สุดกว่ากรุ๊ป อื่น แต่ก็จะมีช่องว่างให้กันด้วย 

กรุ๊ปโอเป็นพวกตามน้ำ เวลาจะเอาคนกรุ๊ปโอไปไหน เขาก็ไปได้หมดล่ะ แต่ต้องมารับโทรไปตาม 
ให้ ความสำคัญ  ต้องอัญเชิญว่าง่ายๆเถอะมาแน่! ต้องให้คนไปง้อ 
กรุ๊ปโอไม่ พูดอะไรออกจากใจ ภายในทันทีจะไปคิดทีนึงแล้วค่อยมาบอก 
บางทีจะทำอะไรก็ ชอบไปปรึกษาก่อนว่าแบบนี้ดีไหม? 
มีเรื่องกลุ้มใจก็จะรบกวนคนรอบข้างคอย ช่วยปรับสารทุกข์สุขดิบ 
แล้วก็กลับมาดีได้ด้วยแรงใจของคนรอบข้าง 

กรุ๊ป โอจะเป็นพวกปากหวานถ้าทำอะไรไม่เป็นก็จะทำตาปริบๆ ให้คนช่วยทำเสมอ 
นอก จากนี้โอยังเป็นพวกเจ้าสัวใจถึง ถ้ากลางที่สาธารณะก็จะหน้าใหญ่ใจกว้าง 
หลัง จากงานเลี้ยงค่อยมาคิด เออหมดตัวแล้ว

 

 Group 'B' 

กรุ๊ป B เป็นกรุ๊ป Entertain อย่างหนักหน่วงและ เป็นสีสันของวงสนทนา 
ไอเดีย ที่ B คิดจะตรงพูดจากใจเสมอ เรียกเสียงหัวเราะของคนในวงได้
เพราะ คนอื่นจะคิด "กูก็คิดแบบนั้น แต่ไม่กล้าพูด"' 
บี เวลารักใครอัดเต็มบ้าเห่อ พอชอบใครจะเอาตัวเอง ไปเลียบๆเคียงๆ คนที่ตัวเองชอบแบบเนียนๆ 

ส่วนมากกรุ๊ปบีจะไปชอบคนกรุ๊ปโอ ด้วยความนิ่งกว่าของคนกรุ๊ปโอ เพราะบีเจอบีจะระเบิด 
เวลามีเรื่อง จะออกตัวล้อฟรีจะเป็นจะตายทีเดียว เราจะได้เห็นบีในอาการแปลกๆ 
เช่น ทะเลาะกับยาม โวยวายกับคนโทรศัพท์ผิด โมโหเพื่อนทั้งที่ยังไม่เคลียร์ เรื่องเหตุต้นตอ 
แล้วพอหลังจากมีเรื่องจะมาคิดได้ว่า "น่าจะใจเย็นกว่านี้ หน่อยนะ" 
แต่ด้วยความเป็นคนตรงทำให้ไม่คิดอะไรมาก 

ถ้า เค้าจะชอบเรา(คนกรุ๊ปบี) แบบที่เป็นเราก็คงดีแล้วบีก็จะลืมเรื่องที่ตัวเองทำเอาไว้ 
กรุ๊ปบี บ้าเห่ออย่างที่บอก พอรักกันก็ปานจะกลืน พอไม่สนใจก็เอาไปทิ้งถังขยะได้ทีเดียว 
กรุ๊ปบีเป็นพวก ชัดเจน ไม่ชอบจะไม่ไปไหนด้วยเลย   
อาจจะเห็นกรุ๊ปบีไปเที่ยวเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ตามคนอื่นไปบ้าง 
แต่พอครั้นอยากจะนอนอยู่บ้านหรือ วันนี้รถติดหว่ะ ก็ไม่ไปซะเลย ไม่โทรบอกใครด้วย 

กรุ๊ปบีเป็นคนใจร้ายแต่จริงๆ เป็นคนจริงใจและค่อนข้างยอมคนที่ตนเองสนิทอย่างมาก 
ถ้าพอใจกลุ่มแล้ว บี จะได้รับอิทธิพลจากโอสูงทีเดียวด้วย 
เหตุผลคือความนิ่งสยบความเคลื่อน ไหว 
ว่าง่ายๆ บีแพ้ทางโอ บางทีอะไรที่โอทำ บีจะปลาบปลื้มมาก 
แต่พอ เอไปทำบีจะมองว่ารำคาญหว่ะ 

กรุ๊ปบีเป็นกรุ๊ปแห่งอารมณ์ ไม่มีความเท่าเทียมกันในกรุ๊ปนี้ใช้อารมณ์ตัดสินกันล้วนๆ 
บีไม่ต้องการ คำปลอบใจหรือกำลังใจใดใด ขอนอนบ้างหลังจากอัดเต็มมาพักนึง 
หรือได้ออกไป ด่า ทำลายของของคนที่ตัวเองไม่ชอบ ก็กลับมาดี๊ด่าได้เหมือนเดิม 

อย่า ลืมว่าเวลาไปเที่ยวไหนให้พกคนกรุ๊ปนี้เอาไว้ เพื่อเพิ่มสีสันให้กับกลุ่ม 
เพราะ บีถือคติสนุกไว้ก่อน อ้อ แต่บีเห็นตลกแบบนี้ 
จะเป็นคนมีเหตุผลกับเรื่อง คอขาดบาดตายสูงมาก 
ตัดสินใจได้ดีทีเดียว ยิ่งเรื่องที่ตัวเองไม่ชอบขอมีส่วนด้วย 
อาจจะยุคนอื่น ให้เลิกคบกันไปเลย 
บีเป็นคนที่ประจบประแจงได้เนียน ถ้าโอจะทำจะกระดากตัวเอง 
ถ้าเอทำจะรู้สึกเสียศักดิ์ศรี แต่บีจะไม่มีทิฐิถ้าอยากทำก็จะทำ 
ไม่ได้ทำให้ทุกคนด้วยมีไรมั้ย เรื่องของฉันเชิ้บๆ







  Group 'A' 

คน กรุ๊ปนี้ ทางยุโรปบอกว่าเป็นกลุ่มคนที่หน้าตาดีที่สุด 
กรุ๊ป เอ เป็นพวกมีความมั่นใจในตัวเองสูง เป็นคนที่เป็นนักคิดนักวางแผน 
เราจะ เห็นคนเรียนดีจากเลือดกรุ๊ปนี้เยอะมาก เพราะความขยันและการเตรียมตัวที่ดีของเขา 
เอ ชอบอยู่ในกลุ่มคนและได้ออกความเห็นตลอด ชอบวิจารณ์คนอื่น 
แต่รับคำ วิจารณ์ที่คนอื่นวิจารณ์ตนเองไม่ได้เท่าไหร่ 
เอ เป็นคนที่สนิทยากถึงจะสนิทแต่ก็จะมีกำแพงกั้นไว้เสมอ   
เอจะแบ่งเวลาให้ กับทุกคนสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อน คนรัก คนทำงาน 
กรุ๊ปเอ เวลานัดกันจะไปคนแรกเสมอ ตรงต่อเวลาและมีสัมมาคารวะ 
แต่ในใจก็จะมีความ คิดที่ตัดสินคนแต่ละคนเอาไว้ในหัวแล้ว 
เป็นกลุ่มคนที่มีเหตุผลสูงสุด เราแทบจะเถียงไม่ชนะกรุ๊ปนี้เลย 
แต่เวลากรุ๊ปเอทำอะไรออกมากลับเป็นอะไร ที่ Emotion มากขัดกับคาแรคเตอร์ที่ตัวเองเก็บไว้ 
คิดว่าเพราะความเก็บ กดที่ต้อง อยู่ในกรอบตลอดเวลา 
กรุ๊ปเอเป็นพวก Work hard play hard เรียนถึงเกียรตินิยมแต่เล่นแรงแบบลืมวันคืน 
กรุ๊ปเอ กับเพื่อน ยิ่งกลุ่มใหญ่ เอจะยิ่งเป็นลิ่วล้อ แต่พอกลุ่มเล็กลง เอจะเทพขึ้นมาเรื่อยๆ 

ถ้า เป็นคนรัก เอจะเอาตัวเองเป็นเหมือนตราชั่ง คือเสมอภาค 
ไม่ว่าแฟนจะรุ่น ใหญ่กว่า เอจะเอาตัวเองไปเทียบให้เท่ากัน 
แต่ถ้าแฟนรุ่นเล็กกว่าก็จะเอา ตัวเองลงไปคลุกกับโลกของคนนั้นซะงั้น 
เอ ชอบคิดว่า อันนี้มันไม่ยุติธรรมเอาซะเลย และประสาทเสีย กับอะไรที่ผิดแผน 
เวลาน้อย ใจจะชอบอยู่คนเดียวเสมอ 
เอ ไม่ถูกกับโออย่างรุนแรง ด้วยความเป็นคนในกรอบแล้วไปเจอคนนอกรีต 
จะรู้สึกหงุดหงิด อะไรว่ะ!!!นัดกันเที่ยงมาสามโมง 
แต่บางครั้ง เอ ก็จะคิดเข้าข้างตัวเองเสมอเวลาตัวเองทำผิดบ้าง 
และ ยิ้มอยู่คนเดียวเวลาที่ตัวเองรู้สึกเหนือกว่า อะไรที่ เอ ทำน่ะ ดีดลูกคิดรางแก้วไว้หมดแล้วล่ะ

 

Group 'AB' 

เอบี เป็นอัจฉริยะ เราจะเห็นเวลาที่ เอบีพูดน้อยกว่าคิด 
เอบีชอบหลบอยู่ในมุม จ้องมองคนอื่นๆทำอะไรต่างๆ แล้วก็คิดไปเรื่อย 
ถ้าเป็นฉันจะทำยังไงตรง นี้ จะมีอะไรที่ดีกว่าไหม 

เอบี เป็นพวกชอบคิดนอกกรอบ เป็นเทพเจ้า 
แต่ ในขณะเดียวกันอาจเป็นคุณบ้าของใครบางคนได้ 
เพราะ เอบีจะทำอะไรนอกกรอบและแนวทดลองเสมอ 
เอบีมีวิธี Entertain ให้ตัวเองมีความสุขแปลกๆ ในมุมของตัวเอง 
เช่น การนั่งกดรีโมทแอร์ตอนไม่มีถ่านแล้วสนุก 
หรือมองมดเดิน แล้วลองตั้งชื่อมด จำว่าตอนมันเดินกลับมาเราจะจำชื่อมันได้ไหม 

เอบี มักสร้างสิ่งแตกต่างในสังคมเสมอ ทำให้เกิดอารยะธรรม วัฒนธรรมใหม่ๆได้ 
เวลา นั่งในกลุ่มใหญ่จะมีแค่สองสถานการณ์ของคนในกรุ๊ปนี้คือ โดนสปอตไลท์ หรือหลบในมุมมืด   
เราจะไม่เห็น เอบีเฮฮาแบบเนียนๆไปกับกลุ่มเพื่อนฝูงตลอด 3 ชม 

เอบีจะมีโลกส่วนตัว สูง เราเอาแนวคิดที่เรามี กฏเกณฑ์ที่เรามีไปตัดสิน เอบีไม่ได้ 
นิสัยของ เอบีหลักๆคือลึกลับ 
ถ้าเอบีเขาจะสนุกกับคนอื่นๆ อย่างเดียวคือการได้แกล้งคนอื่น 
หรือ ดูคนอื่นทำอะไรที่ตนเองวางแผนเอาไว้ แล้วหัวเราะอยู่ในมุมเล็กๆของเขา

 

ถ้าเกิดการทะเลาะกัน

แน่นอนคู่แรกจะ เป็น A กับ O เพราะอย่างที่บอกคนในกรอบเจอคนนอกรีต 
 A ไม่ชอบความรู้สึกผิดเอง จะหาคนผิดในกรณีนั้นทันที 
แล้ว B เองจะเข้ามาเหมือนจะมาไกล่เกลี่ย 
แต่จริงๆจะเอามุขที่เตรียมไว้อย่าง เหมาะสม ใส่ลงมากลางวงเพื่อความเมามันของตัวเอง 
ซึ่ง A จะใส่ยับด้วยเหตุผล  O เองก็จะเถียง  แต่แพ้ด้วยเหตุผลทางสังคม   
แต่ ด้วยว่า B ติดหนี้ทางความรู้สึกกับ Oจะเข้ามาช่วยดันเอาไว้ 
เพราะ B ไม่ชอบให้ใครโดนด่าอยู่ฝ่ายเดียว 
 O ด้วยกันจะเข้าใจแต่ไม่อยากโดนร่างแหไปด้วย 

ถ้าจัดลูกโซ่จะเป็น 

 A > ชนะ > O > ชนะ > B > ชนะ > A  

แล้ว AB หายไปไหน

 AB ก็ยืนมองยักไหล่ว่าการทะเลาะกันของพวกนี้ไร้สาระสิ้นดี

 

 





ถ้า ฝนตกจะทำยังไง

 
Oจะรอจน ฝน หยุดตกจะเปียกทำไมล่ะ 
ค่อยไปก็ ได้คนอื่นน่าจะเข้าใจนะ ว่าเดี๋ยวเปียกไม่สบายอีกน่ะ 


Bดูก่อนว่าโอเอาไง หรือว่าตัวเองรีบไหม  เช็คอารมณ์ก่อน 


Aรีบออกไปเลยแม้จะไม่รีบมากขนาดนั้นก็เถอะ ถ้าให้ยืนเฉยๆ กูจะเบื่อตาย 


 AB ดูทุกคนก่อนถ้า A ออกไปแล้วเปียกหรือน้ำท่วมมันสูงจนรองเท้าเปียก 
ก็ ยืนรอจังหวะ ซากว่านี้ แต่คงไม่อยากอยู่จนคนสุดท้าย

ความรักของคน เหล่านี้ 

Oจะฝันอยากได้คนในเสปค แต่กลับอยู่กับคนที่ชิลแล้วอยู่ด้วยกันได้จริงๆ 
และค่อนข้างให้คนรักเอา อกเอาใจ ส่วนมากจะได้ B เป็นแฟน 
ถ้าได้ O ด้วยกันเป็นแฟนจะพูดกันน้อย 
และ O จะพาแฟนไปรู้จักกับเพื่อนด้วย เพราะ Oชอบให้เพื่อนอยู่ปนกะแฟน 
 O ชอบสังคมแบบ Multi เวลามีปัญหากับคนรัก กรุ๊ปโอจะชอบให้ง้อ 
พวกนี้แพ้ คนที่มาถึงที่ เอาใจถึงใจ 

Bจะไปหาคนที่ชอบเท่านั้น   
 B ชอบออกตัวจีบก่อนด้วยแต่ในทางกลับกัน จะมีชีวิตแบบในหนังน้ำเน่าได้ 
เช่น แรกๆไม่ชอบคนนี้แต่ถ้ามาจีบๆ ก็จะยอมด้วยความใจอ่อน 
แบบพ่อแง่ แม่ งอนทะเลาะกันน่ารัก งอนๆแล้วล้มไปจุ๊บกันได้เชิ้บๆ 
 B ชอบติดแฟนอยู่เป็นช่วงๆ บางทีก็จะหายไปกับแฟนเลย 
แต่ก็จะโผล่มาหาเพื่อน ฝูงบ้างเป็นช่วงๆสลับกันไปตามสถานการณ์ ความสำคัญ 
 B ชอบใช้เวลาอยู่กับคนรักแบบติดเอาชีวิตไปมอบให้เลยแต่แค่พักเดียวนะ 
มี วิธีการง้อคนรักแบบ B คือการใช้ความสัมพันธ์ความผูกพัน ระลึกถึงความหลัง
วิธี นีได้ผลยิ่งนัก B เป็นพวกรักแบบบ้ายุ ยุขึ้นนะเนี่ย ! 

Aใช้เวลาดูคนรักพอสมควร A จะวางแผนแล้วว่าคนนี้ บ้านอยู่ไหน 
เรียนอะไรทำ งานที่ไหน มีโอกาสจะได้มีชีวิตด้วยกันสูงไหม สืบมาเป็นอย่างดี 
 A จะใส่ใจคนรักมากชอบทำเซอร์ไพรส์ คิดจุกๆจิกๆทำนี่ ทำนั่นให้ 
แต่กลับกัน เวลาเกิดปัญหากับคนรักจะรุนแรง ยืดเยื้อเรื้อรัง 
เพราะต้องการเอาชนะ ด้วยคิดว่าตัวเองถูกเสมอ 
ถ้าเราจะง้อคนรักแบบ A ต้องยอมรับผิด แล้วให้เขารู้สึกเหนือกว่า 
 A จะเลิกกับคนรักเพื่อไปคบคนใหม่ต่อไปต่อเมื่อมีคนที่ดีกว่าเข้ามาเท่านั้น 
 A ชอบจัดเตรียมวางแผนให้คนรักช่วยเหลือด้านหน้าที่การงาน การบ้านให้เสมอ 
ประมาณ ว่าคนของฉันต้องเริ่ดเสมอเดี๋ยวคนอื่นมองไม่ดี 
จริงๆคิอทำอะไรก็แคร์สาย ตาคนอื่นเสมอมากกว่า 

ABมีโลกส่วนตัวของตนเองและคนรักสูง 
ไม่ สนใจโลกภายนอกหรือสายตาความคิดคนอื่นมากนัก 
ไม่ชอบพูดถึงเรื่องความรัก ตัวเอง ถ้าเราเห็นคนจูบกันในรถไฟฟ้า 
กอดกันไม่สนใจโลก  ในห้างสรรพสินค้า นั่นล่ะพวก AB

 

การเงินของแต่ละกรุ๊ป 


Oไม่มีแผนการใช้เงินมากเท่าไหร่นัก 
จริงๆแล้วเป็นพวกเจ้าสัว ถ้าโดนยุให้ซื้อของเจอคนรอบข้างบิ้วก็หมดตัว 
ใช้เงินเกินตัวและแพงไม่ ว่าขอให้ชอบ 


 B กลัวโดนด่าเวลาซื้อของ  
ชอบซื้อของแปลกๆ
ให้ เหตุผลทางใจสูงไว้ก่อนการใช้งาน แปรปรวนได้ง่ายจากคำคนรอบข้าง 


Aวางแผนมาเป็นอย่างดี และต้องจำเป็นเท่านั้นถึงจะซื้อ 
นอกจากนี้ยังดู หลายร้าน เตรียมคิดหาส่วนลดให้ได้มากที่สุด 


ABซื้อของไปในทางเดียวกันหมด จะซ้ำก็ไม่ว่า 
จะเหมือนกันมากแค่ไหนก็ไม่ ว่า   จะมีของซ้ำแนวเดียวกันเยอะมาก

 

 

 

การ แบ่งงาน 


Oงานละเอียดยิบ ได้เนื้องานจริงๆ เช่นบริษัทผ้าคือคนฟอกผ้าเลือกสี 
เป็นกลุ่มคนส่วนมากในบริษัท 


Bงานประชาสัมพันธ์มาเกตติ้ง เอนเทอร์เทน 


Aเป็นออแกไนซ์เซอร์ MD ฝ่ายบุคคล หัวหน้าแผนก หัวหน้าห้อง 


ABประธานบริษัท คนออกเงิน

 

การรับฟัง 


Oฟังคนอื่นมากไป น้อยใจเพราะคำวิจารณ์ สูญเสียความเป็นตัวตน ชอบตามใจ 


Bมีหนทางที่มั่นคงของตัวเอง เป็นคนดื้อด้านพอสมควร ถ้าโดนรุมจะยอมแพ้ 


Aดื้อเงียบ แต่เรียนรู้จากประสบการณ์ 


ABคาดเดาไม่ได้



www.pukpik.com

วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ม่านหมอก...รัตติกาล

                    



ความรัก ความฝัน กับ ความจริง ในบางครั้งก็เป็นเหมือนดั่งเส้นขนานด้วยตัวของมันเอง ยากยิ่งนักที่จะทำให้ทั้งสามสิ่งมารวมกันในที่ๆเดียวกันของหัวใจ เพราะท้ายที่สุดก็ต้อง ถูกความจริงทำลายลงสักวันด้วย..ตัวของมันเอง
ความรักก็อาจจะมา ..ในวันที่ผิด และ ในเวลา..ที่ไม่ใช่
ความฝันอาจจะ..ทำให้สุขใจที่มีมัน แต่อาจจะกลายเป็นความปวดร้าว..ในความจริง
และความจริงก็ไม่อาจจะ..อยู่ร่วมกับ ความรัก ความฝัน ที่ไม่มีทาง..เป็นจริง
ซึ่งม่านหมอก รัตติกาล คือความเหงา ความอ้างว้าง เดียวดาย รอคอย เติมเต็มในความรัก ของใครหลายๆคน ที่ไม่สามารถก่อเกิดภาพและมีตัวตน ในโลกแห่ง..ความเป็นจริงได้
ในยามค่ำคืน ที่มีม่านหมอกบางๆ แต่แฝงไปด้วยความอ้างว้าง อย่างหาที่สุด มองไม่เห็นทางข้างหน้ามีเพียงแค่ แสงสลัวๆในความหนาวเย็น มีเพียงเงาแห่งความมืดมิดของรัตติกาลเป็นเพื่อนเคียงใจ
ม่านหมอก มองดูแล้วเหมือน อ้างว้าง เงียบเหงา และ สวยงาม มีทั้งสองมุมในความรู้สึกเดียวกัน
อาจจะเป็นที่ความรัก ไม่สามารถเลือกเกิดกับหัวใจได้ ในเวลาดั่งที่ใจ..ต้องการ
ซึ่งในบางครั้งเจ้าของหัวใจก็พอจะรู้ว่า คำตอบที่ปลายทางจะจบลง..เช่นไร
แต่เมื่อความรัก อยู่เหนือเหตุและผล ก็ยินยอมพร้อมใจที่จะ เจ็บปวดอยู่อย่างนั้น ด้วยความ..เต็มใจ
ความจริง เป็นอย่างไร...ไม่รู้จัก
ต้องเรียกหา ความรัก...สักกี่หน
เดินบนทาง ว่างเปล่า...เหงาเกินทน
ทุกข์เหลือล้น ทรมาน...นานเพียงเท่าไร
แม้รู้สึก อ้างว้าง...ในบางครั้ง
แม้จะเดินอยู่ คนเดียว...เปลี่ยวใจเหงา
แม้จะอยู่เดียวดาย..เกินทุเลา
แม้สุดท้ายสิ้นสุด..เขา
เหลือแค่เรา เพียง..ผู้เดียว
ซึ่งในหัวใจรัก กลับรู้สึก อบอุ่นอย่าง..ประหลาด
ทั้งๆที่อยู่คนเดียว ท่ามกลาง ความเดียวดาย หมอกที่หนาว และ ราตรีกาลที่..มืดมิด
คงมีเพียงแค่แสงเล็กๆ เพียงสิ่งเดียวที่ให้พอจะให้เห็นหนทาง..ข้างหน้า
แม้จะไม่ค่อยอบอุ่น แต่แสงจากตะเกียงในความรักที่ไม่มีทางเป็นจริง นั้น คือความอบอุ่นเดียว
ความหวังเดียว ที่ยังพอมีตัวตนและ..จับต้องได้
ซึ่งตะเกียงเอง ก็คงมองเห็นค่าความรัก ในม่านหมอก รัตติกาล เช่นกัน
ไม่ว่าจะผ่านไปเนิ่นนานเพียงไร อย่าปล่อยตะเกียงทิ้งไว้โดยด็ดขาด จงนำมันติดตัวไป..ตลอดเวลา
ติดไปจนกว่าหน้าที่ของตะเกียง จะหมดลงจนรุ่งสาง และเป็นหน้าที่ของแสงแห่งดวงอาทิตย์..ในความจริง
แต่เมื่อยามใด ที่ถึงเวลาของ ม่านหมอก รัตติกาล มาเยือน เจ้าตะเกียงแห่งความฝันจะกลับมาร่าเริงอีกครั้ง และทำหน้าที่ของมัน อย่างเต็มใจกับความรักที่มันมี อย่างสมบูรณ์ จนสุดปลายทาง...ในความฝัน
“เรื่องที่เศร้าที่สุดของความรัก ไม่ใช่เขาไม่รักเรา หากแต่เราและเขาไม่สามารถ..รักกันได้”
ที่มา : siansouth.com


วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เรืองลี้ลับในอวกาศ




10 เรืองลี้ลับในอวกาศ 

เรื่องน่าขันเกี่ยวกับการค้นพบ คือว่ามันมักมีความลี้ลับใหม่ๆ ตามมาด้วย ปีนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น เมื่อการพบในวิทยาศาสตร์อวกาศที่เด่นมากมาย สร้างปัญหาให้นักดาราศาสตร์ที่มองหาความหมาย ต่อไปนี้เป็น 10 เรื่องลี้ลับที่นักดาราศาสตร์กำลังครุ่นคิดใน พ.ศ.2546

1)พลังงานมืด

ไม่มีใครทราบว่ามันเป็นอะไรกันแน่ แต่มันเป็นการผลักดัน ขณะที่แรงโน้มถ่วงยึดสิ่งต่างๆ เข้าหากันในแต่ละแห่ง(ภายในดาราจักรและระหว่างดาราจักรในกระจุกดาราจักร) มีแรงที่ไม่รู้จักกำลังทำงานอยู่เบื้องหลังและทั่วเอกภพ เพื่อดึงให้ทุกสิ่งออกห่างจากกัน เพิ่งสังเกตกันได้ไม่นานมานี้ว่าเอกภพกำลังขยายตัวด้วยอัตราเร็วเพิ่มขึ้นเมื่อไม่พบร่องรอยว่ามันคืออะไร

ก็เรียกมันว่าพลังงานมืด ปีที่ผ่านมาพิสูจน์ได้ว่าพลังงานมืดกำลังทำงานอยู่ การคำนวณได้ทำให้ดีขึ้น แรงผลักมีอิทธิพลต่อเอกภพ มี 65% มวลมืดหรือมวลสารมืด(dark matter) ที่แปลกและไม่สามารถเห็นได้มี 30% ของเอกภพ ทำให้เอกภพมีแค่ 5% ของมวลและพลังงานตามปกติ การขยายตัวด้วยความเร่งให้แนวคิดว่า ดาราจักรทั้งหมดจะมีชะตากรรมแบบไม่มีที่สิ้นสุด หาจุดจบไม่ได้

2)น้ำบนดาวอังคาร 
ดาวอังคารยังปกปิดความลี้ลับไว้ได้ ไม่เปิดเผยกันง่ายๆ มีสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารหรือไม่? ใครจะตอบได้ถูก ในเมื่อนี่ยังเป็นคำถามของนาซ่าและนักวิทยาศาสตร์ดาวอังคาร แต่ก่อนตอบคำถามนี้มีปัญหาเกี่ยวกับน้ำเหลวที่ชีวิตต้องการ
ทั้งๆ ที่มีการค้นพบสำคัญเกี่ยวกับน้ำแข็ง ในพ.ศ.2545 แต่ก็ไม่มีใครนึกภาพออกว่ามันอยู่ในสภาวะเหลวได้อย่างไร มีร่องรอยเมื่อเดือนธันวาคมเป็นริ้วรอยมืดบนผิวเป็นเกลือ และน้ำไหล แต่บรรดาผู้วชาญทั้งหลายไม่มั่นใจหรอก ตอนนี้ยานอวกาศโอเดเซย์(Odyssey ของนาซ่า) กำลังโคจรรอบดาวอังคาร จะตามล่าหลักฐานมาให้ 


3)ใจกลางทางช้างเผือก
บางสิ่งบางอย่างกำลังถูกกลืนที่หลุมดำใจกลางดาราจักรทางช้างเผือก การเฝ้าดูดวงดาวโคจรรอบหลุมดำของทางช้างเผือก ดำเนินไปแม้เป็นไปไม่ได้ที่จะเห็นหลุมดำที่นั่น บริเวณรอบหลุมดำมีความกัมมันต์หรือความปั่นป่วนรุนแรง จากหอสังเกตการณ์จันทรา ที่แสดงแล้วเมื่อต้นพ.ศ.2545 แต่หลุมดำก็ไม่ได้สวาปามมวลมากพอจนคายรังสีเอกซ์พลังงานสูงอย่างที่เห็นในหลุมดำมวลมาก

พฤติกรรมของหลุมดำแสดงความแตกต่างมากมายจนนักวิทยาศาสตร์ยังไม่เข้าใจการศึกษาเมื่อเดือนมกราคม 2545 บอกว่าหลุมดำ 2 หลุม รวมกันอาจทำตัวเหมือนเป็นสวิทช์ปิดเปิดของความเป็นกัมมันต์ มีประกาศการสังเกตการณ์เมื่อเดือนพฤศจิกายนแสดงหลุมดำ 2 หลุมกำลังรวมกัน จะต้องอธิบายความแตกต่างระหว่างหลุมดำแบบธรรมดาของเราและหลุมใหญ่ที่สว่างไสวรอบดาราจักรไกลๆ 


4)กำเนิดของชีวิต

มีข้อมูลเพียงเล็กน้อยที่จะทำงานด้วยได้ โลกไม่ได้มีการบันทึกว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อหลายพันล้านปีที่แล้ว แต่ก็ไม่ได้ขาดแคลนความคิดกว้างไกล ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์เห็นกันว่าชีวิตสามารถอยู่รอดได้ด้วยการเดินทางจากดาวอังคารมายังโลก มันอยู่ในชิ้นส่วนที่หลุดจากดาวอังคารหลังถูกดาวเคราะห์น้อยชนเข้าให้

เมื่อพฤศจิกายนนี้พบว่าหินจากดาวอังคารมายังโลกราวเดือนละก้อน มีแมลงเล็กๆ ภายในฝุ่นของดาวหาง รายงานที่ได้รับการสนับสนุนเมื่อเดือนธันวาคมพบว่า มีสัตว์เล็กๆ จากอวกาศเข้ามาในบรรยากาศโลก นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นว่าชีวิตบนโลกอาจอยู่ในซุปร้อนของสารชีวะเคมี ส่วนที่เป็นน้ำและสารอินทรีย์อาจมาจากอวกาศ โลกคงไม่ต่างจากเครื่องฟักไข่หรือเครื่องเพาะเชื้อ ชีวิตที่นี่อาจเริ่มต้นในที่ไกลแห่งใดแห่งหนึ่ง อาจเคยอยู่บนดาวอังคารหรืออยู่รอบๆ ดาวดวงอื่นมาก่อน 


5)ความลับของดวงจันทร์ 
ไม่มีวัตถุท้องฟ้าในที่ใดที่จะศึกษาได้ดีกว่าดวงจันทร์ เราไปที่นั่น เลือกเฟ้น และนำหินกลับบ้าน แต่ดวงจันทร์ก็ยังคงเก็บความลี้ลับไว้มากมาย ที่ดูแปลกกว่าเก่า คือเรื่องหินบนดวงจันทร์ที่เคยเป็นของโลกมาก่อน มันหลุดออกจากโลกไปได้เมื่อหลายพันล้านปี เมื่อดาวเคราะห์น้อยชนโลกเข้าให้ ที่ๆ เก็บข้อมูลของโลกอยู่บนดวงจันทร์ ?!

ความพยายามเพื่อหาปริมาณ เมื่อเดือนกรกฎาคมพบ มวล 11,000 ปอนด์ จากโลกอยู่ห่างกันไม่กี่นิ้วตามพื้นผิวทุกตารางไมล์บนผิวดวงจันทร์ หินโลกบนดวงจันทร์น่าจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับองค์ประกอบของโลกได้ตอนโลกอายุยังน้อย บรรยากาศโลกและอาจเป็นกำเนิดของชีวิตด้วย ที่จะได้ข้อมูลนี้หาไม่ได้จากที่อื่นใดอีกนอกจากดวงจันทร์ เพราะโลกไม่เหมือนดวงจันทร์ ดวงจันทร์เงียบสงบไม่มีการเคลื่อนไหวภายใน

แต่โลกนำมวลจากภายในขึ้นมาที่ผิวใหม่ มีการพับหินดินที่เปลือกโลกเข้าไปข้างในและหลอมละลายเกินกว่าจะรับรู้ได้ ไม่มีใครแน่ใจว่าควรให้มวลของโลกอยู่ที่ดวงจันทร์นั่นต่อไป หรือควรเอามันกลับคืนมา การวิจัยครั้งใหม่นี้จะบังคับให้มนุษย์กลับไปยังดวงจันทร์ครั้งใหม่ จอห์น อาร์มสตรอง จากมหาวิทยาลัยวอชิงตันบอกว่า นี่จะเป็นวิธีเร็วและถูกที่สุดที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับกำเนิดดาวเคราะห์และการเกิดระบบสุริยะทั้งหมด

6)เราโดดเดี่ยวหรือไม่ 
เราค้นพบดาวเคราะห์ของระบบดาวอื่นที่ใหญ่กว่าดาวพฤหัสบดี และดาวเคราะห์ทั้งหลายโคจรใกล้ดาวของมันมากกว่าของระบบสุริยะของเรา ซึ่งเห็นว่าแปลก เราชักสงสัยว่าระบบสุริยะของเรามาตรฐานจริงหรือ? อย่างไรก็ตาม เมื่อมิถุนายนพบดาวเคราะห์ขนาดเท่าดาวพฤหัสบดีในวงโคจรรอบดาวอื่น

ตอนนี้มีความพยายามที่จะค้นหาดาวเคราะห์ขนาดเล็กกว่านั้น การศึกษาพ.ศ.2545 คาดว่ามีดาวเคราะห์เล็กๆ หลายพันล้านดวงโคจรรอบดาวทั้งหลาย สงสัยกันว่าจะมีดาวเคราะห์หินในวงโคจรคล้ายโลกของไหม? ความลี้ลับนี้คงพิสูจน์กันไม่ได้จนกว่าจะมียุคใหม่ของกล้องโทรทรรศน์อวกาศขึ้นโคจร การศึกษาพ.ศ. 2545 พบว่ามีโอกาสของสิ่งมีชีวิตนอกโลกบนดาวเคราะห์คล้ายโลก และ 1 ใน 3 นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่กำลังพูดถึงอีที ก็จะตื่นเต้นกันมากที่มีโอกาสจะพบจุลชีพ 

7)ดวงอาทิตย์ปริศนา 
ถ้าอยากค้นหาอาชีพที่อนาคตสดใส น่าจะเลือกเป็นนักฟิสิกส์ดวงอาทิตย์ น่าประหลาดที่เรายังไม่เข้าใจไดนามิกส์ของดาวที่เราโคจรรอบ ตอนนี้ ภาพใหม่ของดวงอาทิตย์ใน พ.ศ.2545 มีรายละเอียดมากที่สุด เปิดเผยโครงสร้างที่คล้ายคลองจากบริเวณสว่างไปยังใจกลางจุดมืดของดวงอาทิตย์ โครงสร้างแปลกนี้ได้รับเชื้อเพลิงจากความร้อนมหาศาลและพลังงานสนามแม่เหล็ก แต่ถ้าจะไปให้ไกลกว่านั้น เช่นการกำเนิดยังเป็นความลี้ลับอยู่ ปรากฏการณ์พลศาสตร์และโครงสร้างบนดวงอาทิตย์ทั่วไปยังไม่เข้าใจ แม้สังเกตการณ์กันมานานมากแล้วก็ตาม


8)อายุของเอกภพ 
นักวิทยาศาสตร์เห็นด้วยกับวิธีการทั่วไป ว่าเอกภพเริ่มแรกวิวัฒนาการแบบใด แต่เขาเริ่มโต้เถียงกันเมื่อเห็นหัวข้อของอายุเอกภพ อายุของเอกภพราว 12-15 พันล้านปี แต่มีการทบทวนหรือการทำให้ละเอียดยิ่งขึ้นที่ประกาศเป็นระยะๆ ช่วงห่างกันไม่กี่เดือน

กล้องโทรทรรศน์ฮับเบิลให้อายุเอกภพเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2545 มีค่า 13-14 พันล้านปี เราบอกไม่ได้ว่าคำตอบสุดท้ายจะมีได้เมื่อไร แต่ก็หวังจะได้ใน พ.ศ. 2546 คำถามที่อยากให้ตอบมีว่า อะไรเกิดขึ้นตอนเริ่มต้นเอกภพ? อะไรเกิดก่อนขณะนั้น? นี่เป็นคำถามที่นักเอกภพศาสตร์จะโต้แย้งกันตลอดไป เพราะไม่มีการสังเกตการณ์ได้โดยตรง และไม่มีการพิสูจน์ใดๆ 


9) ดาวเคราะห์หายไป 2 ดวง 
มีภาพน่าประหลาดใจเมื่อนักวิทยาศาสตร์เก่งสร้างภาพจำลองคอมพิวเตอร์ครั้งล่าสุด ใส่ทฤษฎีเก่าแก่ที่ยอมรับกันมาหลายทศวรรษ ที่บอกว่าระบบสุริยะของเราเกิดได้อย่างไร แต่แล้วคอมพิวเตอร์กลับให้แผนภาพที่มีแค่ดาวเคราะห์ 7 ดวง?! ดาวเคราะห์ที่หายไปคือยูเรนัสและดาวเนปจูน ปัญหาเกิดขึ้นเพราะแบบจำลองมาตรฐานของการเกิดดาวเคราะห์ต้องการมวลมาชนกันและยึดติดกันแน่นหลายล้านปี เมื่อแกนใหญ่เกิดขึ้น ก๊าซถูกดึงเพื่อสร้างดาวเคราะห์ใหญ่อย่างดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์ แต่ไกลกว่านั้นตรงที่เนปจูนและยูเรนัสอยู่

กลับไม่มีมวลมากพอจะสร้างดาวเคราะห์ใดได้ นักทฤษฎีอลัน บอสส์ จากสถาบันคาร์เนจีที่วอชิงตันให้ความคิดใหม่เรื่องกลไกที่สร้างดาวเคราะห์ยักษ์น้ำแข็ง บอสส์นึกภาพดาวเคราะห์ใหญ่ทั้งสี่ในระบบสุริยะของเรา ที่ไม่ได้มีวิวัฒนาการมาจากแกนหิน เมื่อใช้แบบจำลองมาตรฐาน แต่มันยุบตัวจากก้อนก๊าซใหญ่และก้อนฝุ่น การแก้ปัญหา บอสส์จำต้องให้ระบบสุริยะเริ่มแรกของเราอยู่ในส่วนอื่นของอวกาศ เขาเลือกบริเวณที่ดาวเกิดกันหนาแน่น บริเวณแบบนี้รังสีเหนือม่วงจากดาวดวงใกล้ๆ

แผ่ออกไปผลักมวลออกจากยูเรนัสและเนปจูนจนมีน้ำหนักน้อยลงเหลือเท่าที่เห็น ต่อมาระบบสุริยะได้เดินทางจากที่วุ่นวายนั้นมายังบริเวณในปัจจุบัน อันเป็นที่น่ารื่นรมย์ในดาราจักร ความคิดทั้งหมดดูดี แต่นักดาราศาสตร์อื่นสงสัย เรามีทฤษฎีเก่าแก่ที่ทำงานได้ไม่ดีนัก และมีทฤษฎีใหม่จากความคิดที่รุนแรงและกว้างไกล ในพ.ศ. 2546 ในขณะที่นักดาราศาสตร์บางคนกำลังยุ่งคอยมองหาดาวเคราะห์รอบดาวอื่นๆ บางคนก็พยายามหาว่าดาวเคราะห์ในระบบสุริยะของเราเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาได้อย่างไร
**ก็ขอให้ทุกท่านอ่านเพื่อความบันเทิงก็แล้วกันนะครับ อย่าไปจริงจังจนเกินไปคิดซะว่าอ่านพอเพลินก็แล้วกัน..คืนนี้ฝันดี

วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ควบคุมคอมพิวเตอร์ของคนอื่นด้วย Chrome Remote Desktop


Chrome Remote desktop 600x187 ควบคุมคอมพิวเตอร์ของคนอื่นด้วย Chrome Remote DesktopChrome Remote Desktop
แต่ก่อนผมจะใช้บริการของ LogMeIn ในการควบคุมคอมพิวเตอร์อีกเครื่องในระยะไกลผ่านทางอินเทอร์เน็ต มันทำงานได้ค่อนข้างช้า และภาพไม่ค่อยชัด การป้อนข้อมูลเข้ามีผิดพลาดบ้าง แต่พอแก้ขัดได้ ส่วนใหญ่เอาไว้ควบคุมเครื่องวินโดว์เวลาเครื่องเราทำงานไม่ได้ หรือแก้ไขปัญหาคอมพิวเตอร์เล็กๆน้อยๆให้เพื่อน
เมื่อหลายวันก่อน Google เปิดตัวส่วนเสริมของ Google Chrome ชื่อ Chrome Remote Desktop ความสามารถของมัน คือเราสามารถควบคุมคอมพิวเตอร์อีกเครื่องที่ลง Google Chrome ไว้ในเครื่องรองรับทุกแฟลตฟอร์ม Windows, Linux, Mac รวมถึง Chromebooks ด้วยนะ ผมลงไว้ในเครื่องหลายวันแล้วแต่ยังไม่มีเวลาได้ลอง และยังหาเครื่องคอมอีกตัวมาลองไม่ได้ วันนี้ฤกษ์ดีเลยหยิบคอมที่เป็น Windows มาเอาควบคุม Mac OSX ดู

ขั้นตอนการใช้งาน  Chrome Remote Desktop

  1. เครื่องต้องมี Google Chrome ก่อน ดาวน์โหลด
  2. ติดตั้งส่วนเสริม Chrome Remote Desktop ขนาดประมาณ 19 MB (ใหญ่กว่าส่วนเสริมทั่วไปที่เคยลงมาเลย)
    Chrome Remote Desktop icon 600x294 ควบคุมคอมพิวเตอร์ของคนอื่นด้วย Chrome Remote DesktopChrome Remote Desktop App
  3. เปิดเข้าไปใช้งาน จะมีสองหมวดให้ใช้งาน นั้นคือ จะควบคุมเครื่องของคนอื่น ซึ่งเครื่องปลายทางต้องแชร์เครื่องของเขาแล้วส่ง Access code มาให้เรา หรือ จะให้คนอื่นควบคุมเครื่องของเรา(Share this computer)
    share this computer 600x290 ควบคุมคอมพิวเตอร์ของคนอื่นด้วย Chrome Remote DesktopShare This Computer
  4. ในการทดลองนี้ ผมจะให้เครื่องที่เป็น Windows เข้าควบคุมเครื่อง Mac ดังนั้นผมก็เลือก share this computer แล้วระบบจะสร้างโค้ดมาให้ 12 ตัว แล้วเราก็ส่งโค้ดให้เครื่องที่จะควบคุมเครื่องเรา
    code 600x383 ควบคุมคอมพิวเตอร์ของคนอื่นด้วย Chrome Remote DesktopCode ที่จะใช้ในการควบคุมเครื่องที่เรากดแชร์
    **ข้อดีของ Chrome Remote Desktop คือ มันจะนับเวลาถอยหลัง ถ้าคอมพิวเตอร์ไม่ Access เข้ามาในเวลาที่กำหนด โค้ดชุดนี้จะหมดอายุแล้วก็ใช้ไม่ได้ ต้องกดแชร์ใหม่
  5. นำตัวโค้ดที่ได้จากเครื่องที่จะให้เราควบคุม ใส่เข้าไปในช่อง Access code แล้วกด connect เพียงเท่านี้เราก็ควบคุมเครื่องปลายทางได้แล้ว
    -ผมใช้คอมพิวเตอร์อีกตัว(Windows) เพื่อทดลองควบคุมคอมพิวเตอร์เครื่องที่แชร์(Mac)
    code access 600x278 ควบคุมคอมพิวเตอร์ของคนอื่นด้วย Chrome Remote Desktopใส่โค้ดเข้าไป ตอนนี้เครื่อง Windows ก็ใช้เครื่อง Mac ได้แล้ว
    remote desktop 600x377 ควบคุมคอมพิวเตอร์ของคนอื่นด้วย Chrome Remote Desktopที่เครื่องที่ถูกควบคุมจะบอกว่าตอนนี้เครื่องถูกควบคุมอยู่
    ยังมีข้อดีอีกอย่างคือ เครื่องที่ถูกควบคุมอยู่ จะตัดการเชื่อมต่อเมื่อไหร่ก็ได้ และส่วนแจ้งเตือนที่เป็นบ๊อบอัพจะอยู่ด้านหน้าตลอด ทำให้รู้ว่าเครื่องถูกนี้ถูกควบคุมอยู่
  6. หน้าต่างส่วนควบคุมจะอยู่ใน Tab  ถ้าเปิด Chrome เป็นแบบ Full screen จะเหมือนเราใช้คอมเครื่องปลายทางเลย
    Remote Desktop Windows Control Mac 600x374 ควบคุมคอมพิวเตอร์ของคนอื่นด้วย Chrome Remote Desktopเครื่องที่เป็น Windows ควบคุมเครื่องที่เป็น Mac

สิ่งที่ประทับใจ

-ภาพละเอียด เหมือนเราใช้งานเครื่องปลายทางอยู่จริงๆ
Windows remote Mac 600x328 ควบคุมคอมพิวเตอร์ของคนอื่นด้วย Chrome Remote DesktopCompaq ควบคุมเครื่อง Macbook
-เร็วมาก ลองเปิดวีดีโอดูพบว่ามันวิ่งพร้อมกันเลย เสียดายที่เสียงไม่มาด้วยไม่งั้นแหล่มมาก (เน็ต 4 Mb)
Windows remote Mac 2 600x262 ควบคุมคอมพิวเตอร์ของคนอื่นด้วย Chrome Remote Desktopลองเปิดวีดีโอที่เครื่อง Macbook ที่เครื่อง compaq ก็ชัดและสตรีมแทบจะพร้อมกัน แยกไม่ออกว่าเลยว่า delay
-และมันให้งานฟรี ชอบ google ก็ตรงนี้แหละ
ลองเอาไปประยุกต์ใช้กับงานของคุณดูนะครับ น่าจะมีประโยชน์ไม่น้อยเลย

วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

10 ปริศนาการหายสาบสูญที่เราไม่ค่อยรู้จัก

บนโลกของเรานั้นมีเรื่องราวปริศนามากมาย บางอันก็น่าพิศวง บางอันก็น่ากลัว น่าสยดสยอง ลึกลับ โดยเฉพาะเรื่องราวการหายตัวนั้นเป็นปริศนาที่น่ากลัวที่สุดของโลกเรามาช้านาน ตั้งแต่อดีตและปัจจุบันมีเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นมากมาย และนี่คือ 10 ปริศนาการหายสาบสูญที่เราไม่ค่อยรู้จัก

10. The Flannan Isles lighthouse keepers


หนึ่งในกรณีของการหายสาบสูญที่น่าพิศวงก็คือกรณีเหตุเกิดที่เกาะฟรานแนน ซึ่งเป็นเกาะเล็กแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากสกอตแลนด์ประมาณ 20 ไมล์ โดยเกาะแห่งนี้มีสิ่งก่อสร้างที่เป็นจุดเด่นก็คือประภาคารสูงกว่า 23 เมตร ที่สร้างขึ้นระหว่าง 1895 และ 1899 และสถานที่แห่งนี้เองได้เกิดเรื่องลึกลับขึ้น เมื่อในวันที่ 15 ธันวาคม 1900 เรือกลไฟที่ผ่านเกาะแห่งนี้ในสภาพอากาศเลวร้ายได้สังเกตว่าแสงไฟจากประภาคารไม่ได้ส่องนำทางให้แก่เรือของพวกเขา ทั้งที่ในประภาคารเวลานั้นมีเจ้าหน้าที่ประภาคารสามคนผลัดเปลี่ยนเวรอยู่ ต่เนื่องด้วยตอนนั้นสภาพอากาศเลวร้ายทำให้พวกเขาไม่ได้ขึ้นไปตรวจสอบ จนกระทั้งวันต่อเมื่อมีตรวจสอบประภาคารก็พบว่ายามทั้งสามคนได้หายตัวไปอย่างลึกลับโดยทิ้งหน้าที่ของพวกเขาเอาไว้ ที่น่าลึกลับก็คือประตูทางเข้าประภาคารได้ถูกปิดลง นาฬิกาหยุด เตียงถูกทำลาย เครื่องครัวของทุกคนสะอาดแสดงว่าเขาน่าจะหายไปหลังอาหารค่ำ แม้หลายฝ่ายจะมีการค้นหาสามยามดังกล่าวจากหน้าผาหรือในน้ำแต่ก็ล้มเหลว หลายคนเชื่อว่าสามคนที่หายไปนั้นเกิดจากพายุจากสภาพอากาศที่เลวร้าย หรือจากปรากฏการณ์ลึกลับเหนือธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น ถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัว งูทะเลยักษ์คาบไปกิน หรือไม่ก็ทั้งสามถูกลักพาตัวโดยสายลับต่างชาติ



9. Katz II


ในปี 2007 มีการพบ เรือยอร์ช Katz II ยาว 9.8 เมตร ถูกทิ้งนอกชายฝั่งของรัฐควีนส์แลนด์ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศออสเตรเลียในเดือนเมษายน เรือยอร์ชดังกล่าวได้ออกจากหาดแอร์ลีบิซเมื่อวันอาทิตย์ 15 เมษายน แล่นไปประมาณ 80 ไมล์ทะเล(150กิโลเมตร) ก่อนที่จะหยุดแถวปะการังเกรท แบริเออร์ รีฟ (แนวปะการังใหญ่) ละถูกพบโดยเจ้าหน้าที่ทางทะเล เมื่อพวกเขาสำเร็จเรือก็พบว่าคนบนเรือสามคนหายไปหมด ในขณะที่เสื้อชูชีพและอุปกรณ์ช่วยรอดชีวิตอยู่ในเรือ อีกทั้งเครื่องยนต์ยังทำงานเป็นปกติ(เสียหายไปบ้างแต่ไม่ถึงขั้นรุนแรง) วิทยุสื่อสารก็ปกติ ทิ้งงานค้างเอาไว้ และอาหารยังอยู่บนโต๊ะ ราวกับว่าลูกเรือหายไปอย่างทันทีทันใด จากการค้นหาลูกเรือทั้งสามก็ล้มเหลว ที่น่าพิศวงก็คือที่รอบๆ พื้นที่ดังกล่าวไม่มีเรือหรือแพลำไหนเลยลอยอยู่ ส่วนภาพเป็นรูปถ่ายวีดีโอตอนที่มีลูกเรืออยู่ก่อนที่จะหายตัวไป จากการตรวจสอบไม่พบสิ่งผิดปกติแต่อย่างใด จากเหตุการณ์ดังกล่าวหลายคนเปรียบเทียบว่าเหมือนเหตุการณ์คนหายในเรือแมรี่เซเลสเต้ เลยทีเดียว ส่วนคำอธิบายของสาเหตุดังกล่าวก็มีหลากหลาย เช่นเรืออาจเจอสภาพอากาศเลวร้ายฉับพลัน ถูกคลื่นประหลาดพัด ถูกพายุโฉบ ฯลฯ



8. Pilot Felix Moncla Lost Chasing UFO


การหายสาบสูญที่น่าพิศวงหลายกรณีนั้น มักมีเรื่องเหนือธรรมชาติเกี่ยวของอยู่เสมอ โดยเฉพาะเรื่องของมนุษย์ต่างดาว อย่างเรื่องกรณีของเฟลิกซ์ นักบินที่ไล่ตาวัตถุบินลึกลับก่อนที่จะหายสาบสูญไปอย่างไม่มีวันกลับ

. เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อตอนเย็นของวันที่ 23 พฤศจิกายน 1953 สถานีป้องกันทางอากาศของสหรัฐได้พบเรดาร์ว่ามีวัตถุไร้ที่มาที่ซูล็อกใกล้ทะเลสาบสุพีเรีย มิชิแกน ใกล้กับชายแดนสหรัฐและแคนาดา พวกเขาเลยส่งเครื่องบินควบคุมโดยมีคนขับคือเฟลิกซ์ ส่วนโรเบิร์ตเป็นคนปฏิบัติการจอเรดาร์ 

. เครื่องบินออกจากฐานทัพอากาศคินรอสและพยายามตามรอยเป้าหมายลึกลับบนเรดาร์นั้น โดยวัตถุลึกลับดังกล่าวบิน ด้วยความสูง 8000 ฟุตจากพื้นดิน ระหว่างนั้นสัญญาการสื่อสารมีปัญหาเล็กน้อย โดยเครื่องบินของเฟลิกซ์ได้บินไปจนถึงเป้าหมายลึกลับ ต่อมาก็เกิดเรื่องลึกลับขึ้นเมื่อภาพจอเรดาร์ปรากฏว่าเครื่องบินได้รวมตัวเป็นหนึ่งตัวกับวัตถุลึกลับนั้น(เชื่อกันว่าเครื่องบินอยู่ใกล้เป้าหมายมากจนเกือบเชื่อว่าเครื่องบินถูกชน) และหลังจากนั้นสัญญาณเครื่องบนและวัตถุลึกลับก็ได้หายไป แม้ว่าจะมีพยายามติดต่อตัวนักบินทางวิทยุก็ไม่สำเร็จ จากนั้นก็มีการค้นหาและกู้ภัยแต่ก็ไม่พบร่องรอยซากเครื่องบินหรือตัวนักบินเลย ซึ่งต่อมาหลายฝ่ายได้ขนานนามเหตุการณ์นี้ว่า "เหตุการณ์คินรอส" 

. จากนั้นก็มีแถลงการณ์จากกองทัพอากาศ โดยตอนแรกเชื่อว่านักบินเกิดอากาศวิงเวียนศีรษะจนเกิดอุบัติเหตุในทะเลสาบ หรือไม่ก็เกิดแรงระเบิด หากแต่หลายคนไม่เชื่อเพราะไม่มีการพบซากเครื่องบิน และเชื่อว่าเป็นฝีมือของจานบิน ล่าสุดบริษัทเรือดำน้ำของมิชิแกนได้ออกมายืนยันว่าพวกเขาได้พบซากเครื่องบินและยูเอฟโอ หากแต่การค้นหานี้ได้ถูกระงับและออกมาแถลงการณ์ว่าเป็นเรื่องหลอกลวง



7. Frederick Valentich’s Disappearance


เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อ 21 ตุลาคม 1978 ขณะที่เฟรเดอริก วาเลนติช นำเครื่องบินส่วนตัว Cessna 182 ขึ้นบินจากกรุงเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย มุ่งหน้าไปยังเกาะคิงไอแลนด์ ขณะที่บินอยู่เหนือมหาสมุทร เขาแจ้งไปยังหอบังคับการการบินว่ามีเครื่องบินลำอื่นเคลื่อนที่อยู่ในระดับ ความสูงเดียวกับเขา หากแต่หอบังคับการการบินแจ้งกลับไปว่าไม่มีเครื่องบินลำอื่นบินอยู่ในระดับความสูงนั้น แต่เฟรเดอริกยังยืนยันว่ามันบินอยู่ห่างจากเขาไปแค่ 300 เมตรเท่านั้น แต่รูปร่างมันไม่เหมือนเครื่องบินชนิดใดที่เขาเคยเห็นมาก่อน มันมีลำตัวยาวมากและเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง

. 30 วินาทีต่อมา เฟรเดอริกรายงานว่า เครื่องบินประหลาดบินเคลื่อนตัวมาประชิดกับเขา มันมีลักษณะเป็นโลหะมันวาว มีไฟสีเขียวบนลำตัว จู่ๆมันก็บินหายไปจากสายตา การติดต่อขาดหายไปเป็นเวลา 28 วินาที เฟรเดอริกรายงานอีกครั้งว่าเครื่องบินลึกลับบินกลับมาประชิดเขาอีกครั้ง และเขาได้พูดประโยคหนึ่งที่ยังคงลึกลับจนถึงปัจจุบันว่า "มันกำลังลอยตัว มันไม่ใช่เครื่องบิน" เฟรเดอริกเงียบเสียงไป แต่เสียงบรรยากาศแวดล้อมบ่งบอกว่าเครื่องส่งวิทยุยังคงทำงานอยู่ เสียงคล้ายโลหะขัดสีกันดังอยู่นาน 17 วินาที และมันคือเสียงสุดท้ายที่หอบังคับการบินได้บันทึกเอาไว้ เฟรเดอริกไม่ได้ติดต่อกลับมาอีก เขาไม่ได้นำเครื่องลงจอดที่เกาะคิงไอแลนด์ ทั้งเฟรเดอริกและเครื่องบินหายสาบสูญไปเฉยๆ และไม่มีใครพบเห็นตัวเขานับจากนั้นเป็นต้นมา 

. มีผู้พยายามอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเฟรเดอริกเกิดประสาทหลอนขับ เครื่องบินตีลังกากลับหัว มองเห็นเงาสะท้อนของเครื่องบินตัวเองบนผิวทะเลและคิดไปว่าเป็นเครื่องบินลำ อื่น แต่ไม่มีใครสามารถอธิบายเสียงโลหะเสียดสีกันในช่วง 17 วินาทีสุดท้ายของการติดต่อทางวิทยุได้



6. Vanished Cripple


โอเว่น พาร์ฟิตต์ชายอายุ 60 ปี ได้ป่วยเป็นอัมพาตเนื่องจากโรคหลอดเลือดสมองใหญ่ ในเดือนมิถุนายน 1763 ที่เซฟดัน มาร์เลท ประเทศอังกฤษ โอเว่นนั่งนอกบ้านของน้องสาวของเขาซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันที่เขามักทำเสมอในตอนเย็นที่อากาศอบอุ่น ตอนนั้นเขาใส่ชุดนอนและผ้าคลุมนั่งเงียบๆ ไม่สามารถขยับไปไหนได้ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับถนนเป็นฟาร์มที่ตอนนั้นคนงานกำลังเสร็จสิ้นภารกิจในการจัดการกองฟาร์มอยู่ ต่อมาเมื่อถึงเวลา 7:00 PM น้องสาวของโอเว่นที่ชื่อ ซูซานนาห์ พาร์ฟิตต์ กำลังจะออกไปข้างนอกกับเพื่อน และเธอได้ไปหาโอเว่นเพื่อพาเขาเข้ามาในบ้านเนื่องจากพายุกำลังจะเข้า หากแต่แล้วเธอกับพบว่าเขาหายไป เหลือแต่เสื้อคลุมที่เขาพับไว้ที่นั่งเท่านั้น จากการสอบสวนก็ไม่พบอะไรทั้งสิ้นแม้แต่ร่างเขาของ จนกระทั้งสิ้นสุดลงใน 1933 ปี และจนบัดนี้ไม่มีร่องรอยหรือเบาะแสโอเว่น



5. Time Tunnel


ในปี 1975 มีชายคนหนึ่งชี่อไมเคิ่ล ไรท์ กำลังขับรถโดยมีภรรยามาร์ธ่านั่งมาด้วย พวกเขาขับรถจากนิวเจอร์ซีย์เพื่อยังนิวยอร์ก โดยระหว่างทางพวกเขาต้องผ่านอุโมงค์ลินคอล์น และเมื่อไมเคิ่ลขับรถผ่านอุโมงค์แล้วเขาได้เช็ดไอน้ำที่ติดกระจกหน้ารถออก และภรรยาก็อาสาจะทำความสะอาดกระจกด้านหลังด้วยเพื่อให้รถพร้อมที่จะเดินทางต่อ และเมื่อไมเคิ่ลทำความสะอาดเสร็จเขาก็หันกลับไปก็พบว่าภรรยาของเขาได้หายไป ซึ่งเขาไม่ได้ยินหรือเห็นอะไรผิดปกติเลย จากการสืบสวนภายหลังไม่พบสิ่งปกติอะไรและในอุโมงค์แห่งนั้น และไม่มีใครพบเห็นมาร์ธ่าอีกเลยไม่ว่าจะเป็นศพหรือตัวเป็นๆ



4. The Norfolk Regiment


ตำนานการหายตัวสาบสูญของกองทัพทหารทั้งกองทัพจากคำบอกเล่าของพยานซึ่งเป็นทหารสามนายยังคงความลึกลับมายาวนานตลอด 50 ปี โดยเรื่องเริ่มขึ้นเมื่อปี 1915 ในสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยตอนนั้นพยานสามนายซึ่งเป็นสมาชิกของบริษัทนิวซีแลนด์ได้มองดูกองทหาร Norfolk (เป็นกองทหารราบของอังกฤษ) กำลังเดินขบวนสวนสนามอยู่ในตุรกี เดินอยู่แถวหน้า ข้างเทือกเขา Suvla Bay จู่ๆ ก็มีหมอกหรือเมฆประหลาดเคลื่อนตัวลงต่ำปกคลุมอยู่ทั่วอย่างช้าๆ ทำให้มองไม่เห็นกองทัพดังกล่าว หลังจากที่ทหารคนสุดท้ายผ่านเข้าไปในหมอกดังกล่าว และเมื่อหมอกหรือเมฆเลื่อนออกจากข้างภูเขาและหายไปปรากฏว่าทหารหายไปทั้งกองทัพ โดยไม่สามารถอธิบายได้ว่าเรื่องแปลกประหลาดเหนือธรรมชาติที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ตอนแรกรัฐบาลอังกฤษเชื่อว่าทหารของพวกเขาถูกพวกตุรกีจับไป หากแต่ทางการตุรกีปฏิเสธ และจนบัดนี้เราก็ไม่ทราบข่าวกองทัพทหารอังกฤษทั้งกองทัพแม้แต่น้อยเลยนับจากวันนั้น



3. The Legend of David Lang


นี่คือหนึ่งในการหายสาบสูญที่มีชื่อเสียง เมื่อเดือนกันยายน 1880 ที่ฟาร์มแห่งหนึ่งในเมืองกัลลาติน มลรัฐเทนเนสซี ได้เกิดเรื่องประหลาดต่อหน้าต่อตาพยานหลายคน เมื่อเด็กน้อยชื่อ ยอร์ช อายุ 8 ขวบ และซาร่าห์ แลง อายุ 11 ขวบ เล่นกันอยู่บ้านของพ่อแม่พวกเขาเดวิดและเอ็มม่า ตอนนั้นเดวิดได้ออกมาทางประตูหน้าบ้านและเดินผ่านข้ามทุ่งเลี้ยงสัตว์ โดยบอกกับภรรยาว่าอีก 2-3 นาทีเขาจะกลับ ในตอนรถม้าที่เพื่อนของเดวิดซึ่งเป็นผู้พิพากษา ชื่อออกัสท์ เป็ค มุ่งหน้ามายังบ้านเขาเห็นเดวิดโบกมือให้ออกัสท์ แล้วเขาก็เดินกลับบ้าน เพื่อเตรียมต้อนรับเขา และเวลานั้นเองร่างทั้งร่างของเดวิด แลง ก็หายวับไปต่อหน้าต่อตาบุคคลทั้งหมด ราวกับล่องหนไปเฉยๆ นางแลงร้องกรี๊ดสุดเสียง ในขณะที่บุตรของนางทั้งสองคนยืนตะลึงจังงังพูดไม่ออก แต่แล้วโดยสัญชาตญาณ ทุกคนออกวิ่งไปยังจุดที่เห็นแลงยืนอยู่เมื่อครู่นี้ ผู้พิพากษาเป็คและน้องเขยซึ่งมากับรถม้ารีบก้าวลงและวิ่งข้ามทุ่งนาไปเกือบจะพร้อมๆกัน ในจุดที่เดวิดหายไม่มีหลุมอะไรเลยแม้แต่น้อย จากการค้นหาก็ไม่พบอะไรที่จะเกี่ยวข้องกับเดวิดแม้แต่น้อย 

. เรื่องราวยังไม่จบเวลาผ่านไป 7 เดือน เหตุประหลาดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ในเดือนเมษายน 1881 ลูกชายหญิงทั้งสองของเดวิด แลง ออกไปเล่นยังจุดที่พ่อของพวกเขาหายตัวไป ได้สังเกตว่ามีวงหญ้าสีเหลืองบริเวณบริเวณดังกล่าวที่ล้มและร่วงจนกลายเป็นวงกลมมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 15 ฟุต เห็นได้ถนัดชัดเจนอย่างประหลาด แล้วเด็กทั้งสองก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังจากวงหญ้าสีเหลืองดังกล่าวว่า "ซาร่าห์...ยอร์ช ช่วยพ่อด้วย...ช่วยด้วย"



2. The Stonehenge Disappearance


กองหินประหลาด Stonehenge ของประเทศอังกฤษเองก็มีเรื่องราวการหายสาบสูญลึกลับเหมือนกัน โดยในเดือนสิงหาคม ในปี 1971 ซึ่่งในช่วงเวลานั้น Stonehenge ยังไม่ได้รับคุ้นครองจากทางการ ทำให้มีหลายคนเข้ามายุ่งย่ามกับกองหินดังกล่าวหลายครั้ง จนกระทั้งวันหนึ่งมีกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า "Hipples" ได้เข้ามากางเต็นท์ที่กองหินดังกล่าว ตรงจุดศูนย์กลาง และ พวกเขาได้ตั้งหม้อทำอาหารและนั่งรอบๆ สูบบุหรี่ และเล่นเกมรอบกองไฟ จนกระทั้งเวลาประมาณสองทุ่ม จู่ๆ ก็มีเสียงฟ้าร้องรุนแรง ลมแรง และฟ้าผ่าลงในพื้นที่ตรงจุดศูนย์กลางของกองหิน ทำให้ต้นไม้บริเวณดังกล่าวเสียหาย และตอนนั้นเองมีพยานสองคนซึ่งเป็นชาวนาและตำรวจได้เห็นกองหินประหลาดมีแสงสว่างสีน้ำเงินจ้าจนแสบตา และพวกเขาก็ได้สินเสียงกรีดร้องจากกองหินประหลาดดังกล่าว ซึ่งตอนแรกพวกเขานึกว่าเป็นเสียงร้องเรียกขอความช่วยเหลือเพราะได้รับบาดเจ็บจากฟ้าผ่าดังกล่าว และเมื่อทำการสำรวจดู ปรากฏว่าพวกเขาไม่พบใครเลยแม้แต่คนเดียวในกองหินประหลาดดังกล่าว พวกเขาหายตัวไปราวกับอากาศธาตุ ไม่มีแม้แต่ชิ้นส่วนศพใดๆ ปรากฏเลยแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่พวกเขายืนยันว่าในเวลาดังกล่าวพวกเขายังเห็นคนทั้งกลุ่มอยู่กลางกองหินประหลาดก่อนที่จะหายไป



1. The Village That Disappeared


ไม่มีเรื่องราวหายสาบสูญไหนที่จะลึกลับประหลาดและน่ากลัวเกินไปกว่าการหายสาบสูญของคนทั้งหมู่บ้านกว่า 2,000 คน ที่มีทั้งผู้ชาย เด็กและผู้หญิง โดยเรื่องราวเริ่มขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 1930 เมื่อนายพรานคนหนึ่งชื่อ Labelle ได้นำขนสัตว์ที่ล่ามาได้มาขายในหมู่บ้านชาวเอสกิโมที่ตั้งอยู่ข้างทะเลสาบ Ankikuni ในแคนาดาตอนเหนือ นายพรานคนดังกล่าวคุ้นเคยกับหมู่บ้านนี้ดีว่ามีชาวบ้านกี่คน แต่ละคนมีนิสัยอย่างไร อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาไปถึงกลับพบว่าหมู่บ้านดังกล่าวรกร้าง ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเลย จากการสำรวจกระท่อมก็ยิ่งน่าตกใจของว่าบางกระท่อมปรากฏว่าเคยมีหลักฐานว่ามีคนอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน บางกระท่อมมีไฟกำลังเผาไหม้บนหม้อที่กำลังตุ๋นเนื้อจนดำ นายพรานคนดังกล่าวตกใจเรื่องนี้มากจึงแจ้งทางการให้ลงมือสืบสวนและตรวจสอบ หากแต่เมื่อทำการค้นหาพื้นที่โดยรอบอย่างละเอียดพวกเขาไม่พบร่องรอยหรือหลักฐานอะไรทั้งสิ้น ไม่มีแม้กระทั้งซากศพชาวเอสกิโมที่ฝังอยู่ในใต้หิมะหรือรอยเท้าแต่อย่างใด หลักฐานที่พอเป็นไปได้ก็คือซากศพสุนัขเลี้ยงที่ถูกอดอาหารจนตายที่ถูกฝังใต้พื้นหิมะ 15 ฟุตเท่านั้น ทำให้เชื่อได้ว่าพวกเขาได้สละหมู่บ้านอย่างเร่งด่วนจนลืมแม้กระทั้งสุนัขตนเอง หรือเกิดเหตุการณ์อะไรที่ทำให้คนหายไปจากหมู่บ้านกะทันหัน และที่น่าสุดพิศวงที่สุดก็คือเมื่อพวกเขาทำการสำรวจสุสานบรรพบุรุษของหมู่บ้านเอสกิโมปรากฏว่าว่างเปล่า โดยทฤษฏีที่น่าเชื่อที่สุดก็คือถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัว แต่จนบัดนี้ปริศนาการหายสาปสูญหมู่บ้านเอสกิโมก็ไม่มีคำตอบแต่อย่างใด