วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2554

10 ทฤษฎี ความเป็นไปได้ที่ทำให้เกิดโลกาวินาศ


เว็บไซต์ เทเลกราฟ ประเทศอังกฤษ รายงาน 10ทฤษฎี ความเป็นไปได้ที่ทำให้เกิดโลกาวินาศ โดยยกหลักฐาน พร้อมให้คะแนนความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น ทีมงานเลยขอนำเสนอแก่แฟนๆครับเชิญชมได้ ณ บัดนี้

10. การล่มสลายของสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิต
การ เปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ หรือภาวะโลกร้อน นำไปสู่หายนะโลกาวิบัติในไม่ช้า เห็นได้จากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ผ่านมา เป็นสิ่งบ่งชี้ถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น มนุษย์ ซึ่งต้องพึ่งพาสิ่งแวดล้อมได้รับผลกระทบโดยตรง หลักฐาน อุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้นในทุกๆปี การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คะแนนความเป็นไปได้ 7 เต็ม 10

9. ปรากฏการณ์ Colony Collapse Disorder (CCD) การล่มสลายของผึ้ง
ปรากฏการณ์ รังผึ้งล่มสลาย (colony collapse disorder: CCD) คือปรากฏการณ์การหายไปของผึ้งตัวเต็มวัยเกือบทั้งรัง ทิ้งผึ้งราชินีและผึ้งที่ยังไม่โตเต็มวัยที่ต้องการอาหารและการดูแลไว้เพียง ลำพัง ความผิดปกตินี้ถูกพบครั้งแรกเมื่อปีค.ศ. ๒๐๐๖ ในสหรัฐอเมริกา และผึ้งมากกว่า ๒ ใน ๓ ของสหรัฐอเมริกาก็หายไปภายใน ๒ ปี นอกจากนี้ยังพบปรากฏการณ์นี้ในยุโรปตะวันตกและไต้หวันอีกด้วย ผึ้งเป็นผู้ถ่ายละอองเรณู (pollinator) ที่สำคัญซึ่งจะช่วยถ่ายละอองเรณู และทำให้ผลไม้ต่างๆ ติดผล ผึ้งมีส่วนสำคัญในระบบเกษตรกรรมของสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง ๑๔ พันล้านเหรียญดอลล่าสหรัฐ ล่าสุด นักวิจัยด้านกีฏวิทยาจากมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ ได้ตีพิมพ์ผลงานวิจัยลงในวารสาร “Proceedings of the National Academy of Sciences” (PNAS) ซึ่งเปิดเผยสาเหตุของ CCD จากการศึกษาชีววิทยาระดับโมเลกุลของผึ้ง ผลการศึกษาชี้ชัดว่า ผึ้งที่ตายจาก CCD มีไรโบโซม (ribosome) ที่ผิดปกติไปจากผึ้งปกติ นักวิจัยได้ใช้เทคนิคไมโครแอเรย์ (microarray) ที่สามารถเปรียบเทียบการแสดงออกของยีนได้คราวละมากๆ เปรียบเทียบการแสดงออกของยีนทั้งจีโนม (genome) ซึ่งสกัดจากเซลล์บริเวณทางเดินอาหารระหว่างผึ้งปกติและผึ้งที่ตายจาก CCD ไม่พบการแสดงออกของยีนที่ตอบสนองต่อยาฆ่าแมลงและยีนที่เกี่ยวข้องกับระบบ ภูมิคุ้มกัน แต่กลับพบว่า ไรโบโซมของผึ้งที่ตายจาก CCD แตกหักเสียหายมากกว่าผึ้งปกติอย่างมีนัยสำคัญ ไรโบโซมเป็นสารชีวโมเลกุลที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในการสังเคราะห์โปรตีน ภายในเซลล์ ผึ้งที่ไรโบโซมเสียหายและใช้งานไม่ได้ จะไม่สามารถสังเคราะห์โปรตีนเพื่อตอบสนองเพื่อต่อต้านยาฆ่าแมลง การติดเชื้อจุลชีพต่างๆ ภาวะขาดอาหาร และความเครียดอื่นๆ จนนำไปสู่การตายในที่สุด สาเหตุของการแตกหักของไรโบโซมดังกล่าว คือไวรัสที่มีชื่อว่า Picorna-like Virus (ชื่อตั้งมาจากคำว่า “pico-” ซึ่งหมายถึง “เล็กๆ” กับคำว่า RNA ซึ่งเป็นสารสำคัญที่ได้จากการถอดรหัสสารพันธุกรรม) ซึ่งจะขโมยไรโบโซมและสารชีวโมเลกุลอื่นๆ ของเจ้าบ้าน (host) ไปใช้ในการผลิตโปรตีนสำหรับการจำลองและแพร่กระจายพันธุ์ของตัวเอง และถ้าผึ้งตัวใดติดเชื้อไวรัสชนิดนี้เป็นจำนวนมากในเวลาเดียวกัน ไรโบโซมของมันจะทำหน้าที่ไม่ไหว และแตกหักเสียหายในที่สุด อย่างไรก็ตาม นักวิจัยยังไม่สามารถหาสาเหตุของการติดเชื้อไวรัสได้

8. วิกฤติน้ำมัน
ไม่ว่าจะใช้ความพยายามเท่าใด ปริมาณน้ำมันที่ได้จากการสำรวจขุดเจาะ ก็จะลดลง แนวคิดนี้มาจากการสังเกตปริมาณน้ำมันของแต่ละบ่อที่ขุดเจาะ และเมื่อรวมถึงผลผลิตน้ำมันโดยรวม เมื่อถึงจุดที่สามารถผลิตน้ำมันที่ได้จากแหล่งปิโตรเลียมสูงสุดแล้ว หลังจากนั้น ปริมาณน้ำมันที่สำรวจขุดเจาะได้จากธรรมชาติจะลดลงอย่างรวดเร็ว เพราะในขณะเดียวกัน ความต้องการใช้พลังงานก็จะมีแนวโน้มที่สูงขึ้น เข้าลักษณะอุปสงค์สูงกว่าอุปทาน ไปถึงจุด Peak Oil นั่นคือ”จุดที่ไม่มีน้ำมันเหลืออยู่” กระทบต่อสภาพเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมทั่วโลก หลักฐาน จุดวิกฤติน้ำมัน เริ่มใกล้เข้ามาทุกที แต่ยังมีคำถามอยู่ว่า 1.มันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ 2.โลกจะพัฒนาให้มีเชื้อเพลิงใช้เป็นทางเลือกอื่นอีกหรือไม่ คะแนนความเป็นไปได้ 4 เต็ม 10

7. โลกาวินาศจากเหตุก่อการร้าย
ตั้งแต่การโจม ตีก่อการร้าย ในกรุงนิวยอร์ค และวอชิงตัน สหรัฐ เมื่อวันที่ 11 กันยายน ปี 2001 ที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้นกว่า 3 พันคน กลุ่มก่อการร้ายอัลเคดาห์ และกลุ่มก่อการร้ายอื่นๆ มีบทบาทสร้างความหวาดกลัวแก่มวลมนุษยชาติ ทั้งการสะสมอาวุธสงคราม การทำลายล้างสิ่งก่อสร้าง การปล่อยสารเคมี และการโจมตีทางชีวภาพ ทั้งอังกฤษ และสหรัฐถูกตั้งเป้าเป็นแหล่งโจมตีของกลุ่มก่อการร้าย หลักฐาน บิน ลาดิน ผู้ก่อตั้งขบวนการอิสลามแนวหน้านานาชาติเพื่อสงครามศักดิ์สิทธิ์ต่อต้านชาว ยิว และพวกคริสเตียน (Interna-tional Isalamic Front for Jihad Against the Jews and Crusaders) ได้ให้สัมภาษณ์โจมตีอย่างรุนแรงถึงรัฐบาลอเมริกัน ว่าเป็นพวกโหดเหี้ยม ทำร้ายรวมถึงเข้าครอบครองพื้นที่มุสลิม โดยสนับสนุนอิสราเอล และประกาศจะให้บทเรียนที่สาสม ในวัน “ดำมืด” แก่สหรัฐอเมริกา รวมถึงพลเมืองที่ต้องรับผิดด้วย ทั้งนี้ เชื่อกันว่า กลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้ มีการสะสมอาวุธนิวเคลียร์จ้องสังหารอยู่ คะแนนความเป็นไปได้ 2 เต็ม 10

6. สงครามโลกครั้งที่สาม
การขัดประโยชน์กัน เอง นำไปสู่ภัยพิบัติที่เกิดจากน้ำมือของเหล่ามวลมนุษย์ ทุกชีวิตจะล้มตาย ส่วนที่เหลือ จะได้รับความลำบากทุกข์ยาก ขาดแคลนทั้งเสบียง อาหาร น้ำดื่ม มนุษย์จะฆ่ากันเอง พื้นที่หลายส่วนจะถูกลบทิ้งออกจากแผนที่โลก บางแห่งอาจจะหายไปทั้งประชากรและแผ่นดิน สิ่งที่ไม่น่าเกิดก็จะเกิดขึ้น รวมถึงภัยพิบัติต่างๆตามธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ที่ผ่านมามีการแข่งขันด้านระเบิดนิวเคลียร์จากทั้งฝ่ายตะวันตก และตะวันออก มีการสะสมอาวุธนิวเคลียร์อย่างต่อเนื่องตลอดปี 1970 และ 1980 หลักฐาน สงครามระหว่างประเทศเพิ่มระดับความขัดแย้งเป็นระดับโลก อาทิ สงครามเกาหลีเหนือ-ใต้ การเตรียมความพร้อมระเบิดนิวเคลียร์ในจีน มหาอำนาจยักษ์ใหญ่ คะแนนความเป็นไปได้ 1.5 เต็ม 10

5. การระเบิดภูเขาไฟครั้งร้ายแรงที่สุด
การ ปะทุของวันสิ้นโลก เป็นการระเบิดครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า แมกม่าขนาดใหญ่จะขยายตัวภายในเปลือกโลก จนกระทั่งปะทุออกมา ผลก็คือ พื้นที่โลกมหาศาลถูกทำลายล้าง หลักฐาน หลักฐานภาพถ่ายดาวเทียมของผิวโลกพบว่า มีการเปลี่ยนแปลง และการเคลื่อนไหวของหินหลอมละลาย 10 ไมล์ ใต้ผิวโลก คะแนนความเป็นไปได้ 1 เต็ม 10


4. การเปลี่ยนขั้วของสนามแม่เหล็ก
สนาม แม่เหล็กหลักที่ถูกสร้างขึ้นโดยกระแสการไหลอันรุนแรงของเหล็กที่หลอมเหลวของ แกนรอบนอกของโลกนั้น บางครั้งจะกลับทิศทางของมัน ด้วยเหตุนี้เข็มของเข็มทิศจะชี้ไปทางใต้แทนที่จะชี้ไปทางเหนือ การกลับหัวของขั้วเช่นนี้ เคยเกิดขึ้นนับร้อยครั้งที่ช่วงระยะเวลาไม่แน่นอนในประวัติศาสตร์ของโลก ครั้งล่าสุดก็ประมาณ 780,000 ปีก่อน แต่นักวิทยาศาสตร์นั้นก็ยังพยายามที่จะศึกษาว่า มันเกิดขึ้นได้อย่างไร และทำไมมันถึงได้เกิดขึ้น เหตุนี้เองเป็นหนึ่งในทฤษฎีที่ถูกเชื่อว่า จะเป็นสาเหตุให้การหมุนของโลกปั่นป่วน เกิดความหายนะตามมา หลักฐาน นักวิทยาศาสตร์ และนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Princeton และ Paul Sabatier ประเทศฝรั่งเศส ชี้ให้เห็นว่า โลกของเรามีการหมุนตัวกลับทิศด้วยตัวมันเองมานานกว่า 800 ล้านปี นอกจากนี้ยังมุ่งความสนใจไปยังหินที่บรรจุหลักฐานของจำนวนครั้งที่สนามแม่ เหล็กหลัก เหนือใต้นั้นได้อ่อนกำลังลง ซึ่งเป็นสัญญาณหนึ่งที่บอกว่าขั้วแม่เหล็กนั้นอาจจะกลับทิศทาง คะแนนความเป็นไปได้ 1 เต็ม 10


3. ภัยพิบัติจากดวงอาทิตย์
ตามปฏิทินของ ชาวมายัน โดยอ้างอิงตามหลักวิทยาศาสตร์ เชื่อว่าดวงอาทิตย์จะนำโลกไปสู่หายนะในปี 2012 การขับแก๊ส และการปะทุของดวงไฟขนาดใหญ่ สร้างความเสียหายแก่มวลมนุษย์ และระบบนิเวศในโลกจนสิ้น หลักฐาน ปฏิทินของชาวมายัน อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับทฤษฎีนี้ เนื่องจากมีการสังเกตวงโคจรของดวงอาทิตย์กว่า 11 ปี แม้หลักฐานค่อนข้างอ่อน แต่แสงจากดวงอาทิตย์ ก็สามารถสร้างปัญหาให้กับมนุษย์ได้ เช่น ระบบดาวเทียม การเดินทางของนักบินอวกาศ หากในอนาคต ดวงอาทิตย์หมดเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อน นักวิทยาศาตร์ต่างเชื่อว่า ดวงอาทิตย์จะขยายตัวเป็นเชื้อเพลิงสีแดงขนาดใหญ่ เขมือบโลกจนวินาศ คะแนนความเป็นไปได้ 0.3 เต็ม 10

2. ดาวปริศนา Nibiru (Planet X)
ยังคงเป็นที่ ถกเถียงและหาทางพิสูจน์กันอยู่ว่า ดาวลึกลับในตำนาน มีอยู่จริงหรือไม่? และถ้ามี ตอนนี้มันอยู่ที่ไหน? ดาวดังกล่าวถูกเชื่อมโยงถึงเรื่องปรากฏการณ์วันสิ้นโลก อยู่ในกาแลกซี่เดียวกับโลกของเรา มีชื่อตั้งทางวิทยาศาตร์ว่า นิบิรุ (Nibiru) เส้นทางการเดินทางของวงโคจรดาว นิบิรุ มีความเป็นไปได้ที่มันจะโคจรมาทับเส้นเดียวกับวงโคจรของโลก นั่นแสดงว่า มันมีสิทธิชนโลกได้ คาดว่าในปี 2012 เราสามารจะเห็นดาวนิบิรุ ใหญ่ขนาดดวงอาทิตย์ เพราะมันโคจรใกล้กับโลกของเราเต็มที หลักฐาน องค์การนาซ่า (NASA)ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวในปี ค.ศ.2005 แต่ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวมีการเปิดเผยน้อยมาก และยังไม่แน่นพอ คะแนนความเป็นไปได้ 0.2 เต็ม 10

1. การบุกรุกจากมนุษย์ต่างดาว และการยึดครองจากสิ่งมีชีวิตนอกโลก
เรื่อง ราวของมนุษย์ต่างดาว เป็นเรื่องที่ยังคงถกเถียงกันมาเป็นเวลานาน ยังไมีใครสามารถยืนยันได้ว่า นนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม มีผู้อ้างว่า พบเห็นมนุษต่างดาว ยานอวกาศ อย่างต่อเนื่อง การบุกรุกจากมนุษย์ต่างดาวเคยเป็นเรื่องราวในนวนิยาย ไม่ว่าจะเป็นจากดาวอังคาร และดาวดวงอื่นๆ แต่ทว่า มนุษย์ก็ยังคงหวาดกลัวว่า เหตุดังกล่าวอาจเกิดขึ้นจริงขึ้นมาก็ได้ อีกทั้งหลักฐานต่างๆที่พบ ยิ่งสนับสนุนทฤษฎีนี้ หลักฐาน ภาพถ่าย วีดิโอ การเคลื่อนไหวของรัฐบาลจากประเทศต่างๆที่มีการเตรียมพร้อมรับมือ และตรวจสอบยานอวกาศนานกว่า 50 ปี คะแนนความเป็นไปได้ 0.1 เต็ม 10

ที่มา : tipsth.com

วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2554

:::10 อันดับ สุดยอดฆาตกรโหดของโลก:::





10 แกรี ลีออง ริดจ์เวย์



แกรี ลีออง ริดจ์เวย์ ช่างทาสีรถบรรทุกเมืองซิแอตเทิลและทาโคน่า รัฐวอชิงตัน วัย 54 ปี ฆาตกรโรคจิตเจ้าของฉายา "นักฆ่าลุ่มแม่น้ำเขียว" ยอมรับว่าสังหารสตรี ทั้งหมด 48 คน (ปัจจุบันพบ 50 ศพแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโสเภณี ทางตำรวจเชื่อว่าน่าจะสังหารมากกว่านั้น) โดยสังหาร ระหว่างปี 2525 จนกระทั่งถูกจับกุมในปี 2544 จากการตรวจสอบดีเอ็นเอ และตัดสินจำคุกตลอดชีวิต ปัจจุบันยังมีชีวิตสุขสบายดีในคุก!!




9 อันเดร ชิกาทิโล


เป็นฆาตกรที่มีชื่อเสียงของรัสเซียฆ่าคนไป 53 ศพ เหยื่อมีทั้งผู้หญิงและเด็ก แถมฆ่าแล้วกินศพอีกด้วย โดยเริ่มไล่ล่าฆ่าคนตั้งแต่ปี 1978 ถึง 1992 โดยปกติเหยื่อของเขาจะเป็นผู้คนไม่มีบ้าน หรือผู้ซึ่งพักรอบๆ ทาง ซึ่งบางรายถูกควักตาในขณะที่ยังมีชีวิต ถูกกัดหัวนม บางรายถูกผ่าท้องในขณะที่เป็นๆ และมีอวัยวะบางส่วนถูกกินอย่างสยดสยอง ก่อนจะถูกจับได้ในปี 1992 ต่อมา และถูกประหารชีวิตด้วยการยิงเป้า เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 1994






8 บรูโน ลุค

เกิดที่เยอรมัน เริ่มฆ่าคนเมื่ออายุ 18 ปี ค.ศ. 1927 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยสังหารผู้หญิงไปถึง 85 ศพ โดยสภาพศพส่วนใหญ่ ถูกข่มขืนและถูกแทงหลายแผล หลังสงครามโลก 2 วันที่ 29 มกราคม 1943 บรูโนก็ถูกตำรวจจับ จนกระทั่งบรูโนจบชีวิต หลังจากถูกนำตัวไปทดลองการฉีดยา โดยคณะแพทย์ที่โรงพยาบาล เพราะต้องการศึกษาว่าทำไมเขาถึงเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่โหดแบบนี้




7 จาเว็ด อิคบอล

ปี 1999 แคว้นปัญจาบ ปากีสถาน ชายคนหนึ่งชื่อ จาเว็ด อิคบอล ชาวปากีสถาน อาชีพรับจ้างทั่วไป ทำการฆ่าเด็กชายถึง 100 ศพ! โดยใช้เวลาแค่ 5 เดือน! โดยทุกรายจะลงมือข่มขืน รัดคอ จากนั้นก็สับร่างกายของเหยื่อออกเป็นชิ้นๆ และโยนลงในหม้อที่มีกรดเพื่อทำลายหลักฐาน จนกระทั่งจาเว็ดเกิดนึกเบื่อเขาเลยเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับเขาในจดหมายให้หนังสือพิมพ์ในเมืองจนถูกตำรวจจับในที่สุด ผลสุดท้าย ก็ถูกประหารตามกฎของปากีสถานคือฆ่าเหยื่อตายยังไงก็ต้องถูกประหารแบบนั้น




6 เฮนรี่ ลู ลูกัส

ฆาตกรต่อเนื่องที่ตาบอดข้างหนึ่ง ร่วมมือกับออตติส เอลวูด ช่วยกันสังหารคนที่โบกรถตามทางหลวงของเท็กซัส ฟลอริดา ในอเมริกา ช่วงปี 1966 ซึ่งเขาอ้างว่าสังหารคนกว่า 3,000 ชีวิต แต่หลังจากการตรวจสอบพบว่า เขาฆ่าเพียง 210 ศพเท่านั้น โดยหนึ่งในจำนวนนี้มีทั้งแม่และครูประจำชั้นของลูกัสรวมอยู่ด้วย ลูกัสใช้ชีวิตอยู่ในแดนประหารนานถึง 15 ปี จนกระทั่งตายในคุกตามธรรมชาติเมื่อปี 2001




5 เอซ เอซ โฮล์ม

ชื่อจริงของเขาคือ เฮอร์แมน เว็บสเตอร์ มัดเกทท์ เป็นนักธุรกิจ หมอ นักต้มตุ๋น เขาสังหารสตรีไป 200 ศพ (แต่สารภาพเพียง 27 ราย) โดยอุตส่าห์ลงทุนสร้างโรงแรมที่ชิคาโก บนหัวมุมถนนบล๊อกที่ 63 สหรัฐอเมริกา เพื่อฆ่าคนโดยเฉพาะ โรงแรมเสร็จสมบูรณ์ในปี 1892 และแขกส่วนมากจะถูกฆ่า ด้วยวิธีการต่างๆ นาๆ เช่น ราดน้ำกรด หั่นศพ รมแก๊ซ ฯลฯ แต่ผลสุดท้ายเขาถูกตัดสินว่ามีความผิดเพราะฆ่าคนเพียงคดีเดียวโฮมส์ถูกแขวนคอเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 1897 ซึ่งเขาไม่ได้ตายทันที เขากระตุกอยู่ถึง 10 นาที ก่อนจะตายสนิทในอีก 5 นาทีให้หลัง




4 เปโดร อลองโซ โลเปซ


เจ้าของฉายา "อสูรกายแห่งเทือกเขาแอนดีส" ได้รับบันทึกว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าคนมากที่สุดในยุคปัจจุบัน โดยทำสถิติฆ่าเหยื่อไปแล้วทั้งหมดแบบคร่าวๆ คือ 300 ศพ โดย 100 ศพเป็นผู้หญิงเผ่าอินเดียแดง เกือบทั้งหมดถูกข่มขืนอย่างรุงแรง ก่อนที่จะรัดคอหรือบีบคอตาย โดยในช่วงปลายทศวรรษที่ 70 ต่อต้นทศวรรษที่ 80 เปโดรเดินสายฆ่าคนเป็นว่าเล่นถึงสามประเทศคือ เปรู โคลัมเบีย และ เอกวาดอร์ ก่อนที่จะถูกจับในขณะเขากำลังฆ่าพอดี ก่อนที่จะสารภาพว่าฆ่าเหยื่อกว่า 300 ซึ่งตำรวจได้เพียงแต่เชื่อเขาเท่านั้นเพราะช่วงนั้นเกิดน้ำท่วมใหญ่ในอเมริกาใต้ ทำให้หลักฐานที่เขาทำไว้หายหมด ผลสุดท้ายถูกปล่อยโดยรัฐบาลเอกวาดอร์ และเนรเทศกลับไปดำเนินคดีต่อที่โคลัมเบียในปี 1998







3 กิลส์ เดอ เรยส์

อดีตคนสนิทของ แจนน์ ดาร์ค (โจน ออฟ อาร์ค) วีรสตรีซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดของฝรั่งเศส หลังจากแจนน์ ดาร์ค ถูกทหารฝ่ายศัตรูจับ และถูกเผาทั้งเป็นในฐานะแม่มด เมื่อปี 1431 กิลส์ก็เริ่มบ้า และเชื่อว่าเลือดคนสามารถเล่นแร่แปรธาตุเป็นทองคำได้ ทำให้เขาริเริ่มทำการรวบรวมเด็กชายจากที่ต่างๆ มาเพื่อเป็นเครื่องสังเวยให้กับปีศาจ โดยเด็กบางคนถูกผ่าท้องแล้วทึ้งไส้ออกมา บ่อยครั้งที่กิลส์ข่มขืนศพของเด็กที่เสียชีวิตแล้ว เขาสะสมศีรษะของเด็กหนุ่มจำนวนมาก และศีรษะที่หน้าตาดีจะถูกเรียงไว้เหนือเตาผิงเหมือนเป็นคอลเลคชั่นพิเศษ มีการพบศพของเด็กจำนวนกว่า 150 ศพ (ส่วนใหญ่ไม่มีศีรษะ) ในปราสาท แต่พูดกันว่าเหยื่อของเขาน่าจะมีมากกว่า 1500 ราย (อันนี้เกินไปหน่อย) และผลสุดท้าย กิลส์ ถูกตัดสินให้ประหารโดยการแขวนคอในวันที่ 26 ตุลาคม 1440 และศพถูกลงโทษโดยการเผา





2 เอลิซาเบธ บาโธรี่




เป็นผู้หญิงที่ฆ่าคนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยจำนวนเหยื่อเป็นสาวพรหมจารี 605 ศพ!! เอริซาเบทเป็นถึงเชื้อพระวงค์ชั้นสูง ในฮังการี มีอำนาจล้นหลาม ฆ่าคนจำนวนมากเพราะเชื่อว่าเลือดของเด็กสาวเป็นยาอายุวัฒนะชะลอความแก่ได้ โดยเอริซาเบทจะรวบรวมเด็กสาวจากที่ต่างๆ ในดินแดนของตนกว่า 600 ราย จากนั้นก็ฆ่าและรีดเลือดจากศพเด็กสาวเพื่อมาใช้อาบตัวแทนน้ำ ส่วนศพก็ไปฝังในปราสาท โดยวิธีการรีดเลือด ส่วนใหญ่มักมีอุปกรณ์ทรมานมาใช้ประกอบ เช่น ใช้เหล็กร้อนเผาลำคอ ใช้เครื่องทรมานบีบหน้าอก บางครั้งเธอก็ใช้มือทั้งสองของตัวเองล้วงเข้าไปในปาก และฉีกร่างของเหยื่อออกเป็นสองซีก บางครั้งก็ให้ทหารกรูกันเข้ามาลงแขก แล้วแทงด้วยมีดที่กลางอก บ้างก็ถูกตัดหัว บ้างก็ถูกตัดแขน ตัดขา และเสียเลือดมากจนสิ้นลม ในเดือนมกราคม ปี 1611 เอริซาเบทถูกตัดสินให้ถูกจำคุกตลอดชีวิต ส่วนผู้ร่วมสังหารทุกคนต่างก็ถูกตัดสินโทษเผาทั้งเป็น เธอเสียชีวิตในอีก 3 ปีให้หลัง และมีบางตำนานกล่าวว่าเธอหนีออกไปได้และกลายเป็นผีร้ายอยู่ในป่าของฮังการี







1 หลุยส์ อัลเบอร์โต้ การาวิโต้




หลุยส์ อัลเบอร์โต้ การาวิโต้ (บางชื่อเป็น ลูอิส อัลเฟรโด้ การาวิโต้ ) ถือกำเนิดขึ้นมาในเขตควินดิโอของประเทศโคลัมเบีย เมื่อวันที่ 25 มค. 1957 เจ้าของฉายา "อสูรกายแห่งไร่อ้อย" จากปากคำ เขาสารภาพว่า ลงมือสังหารเหยื่อมากมายถึง 1,800 ราย!! (1982-1999) โดยส่วนมากล้วนเป็นเด็กชายที่มีอายุ 6 ขวบ ถึง 15 ปีทั้งสิ้น ซึ่งถือได้ว่าเป็นจำนวนมหาศาลมากจนไม่คิดว่าจะมีใครในโลกที่ฆ่าคนโดยลงมือคนเดียวได้ขนาดนี้ แต่กระนั้นการตามรอยหาศพที่ฆาตกรคนนี้ลงมือไว้ สามารถตามเก็บเพียง 157 ศพเท่านั้น ซึ่งเขาสารภาพว่า เขาชอบทรมานเหยื่อก่อนฆ่า มีหลายครั้งที่เขาชอบเอามีดแทงเหยื่อก่อนที่จะข่มขืนอย่างเมามัน จากนั้นก็ทิ้งศพที่ไร่อ้อย ซึ่งทั้งนี้ที่เขาสามารถฆ่าคนได้เป็นจำนวนมากๆ ได้ ก็เนื่องมาจากประเทศโคลัมเบียค่อนข้างเป็นประเทศที่กฎหมายค่อนข้างล้าหลัง และสงครามกลางเมืองในประเทศทำให้หลายคนชาชินกับการตายของคนอื่น ปัจจุบัน หลุยส์ อัลเบอร์โต้ ถูกตัดสินจำคุกถึง 2,400 ปี แต่กระนั้นเขาก็ยืนยันว่าถ้าออกจากคุกเขาก็จะฆ่าคนอยู่ดี








เครดิต : sanook