วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554

กลุ่ม Anonymous เตรียมถล่ม Facebook 5 พ.ย. 2011 นี้!!




กลายเป็นเรื่องฮือฮาเมื่อมีวิดีโอนิรนามปรากฎบนเว็บไ ซต์ยู ทูบ 
ระบุว่ากลุ่มแฮกเกอร์ Anonymous มีแผนทำลายระบบคอมพิวเตอร์ของเครือข่ายสังคมยอดนิยม 
อย่างเฟซบุ๊กในวันที่ 5 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ โดยนอกจากยูทูบ 
แผนถล่มเฟซบุ๊กยังถูกประกาศไว้บนทวิตเตอร์ซึ่งระบุว่ าแผนการโจมตีครั้งนี้
มีชื่อเรียกว่าปฏิบัติการเฟซบุ๊กหรือ "Operation Facebook"


แน่นอนว่าวิดีโอดังกล่าวอาจเป็นได้ทั้งเรื่องจริงและ เรื่องลวง 
ซึ่งไม่มีข้อมูลใดๆยืนยันว่าทั้งหมดเป็นเจตนารมณ์แท้ จริงของกลุ่มนักแฮก Anonymous

หากปฏิบัติการ Operation Facebook เป็นเรื่องจริง โลกจะต้องบันทึกว่ากลุ่ม Anonymous นั้น
กำลังเพิ่มบทบาทของตัวเองไปอีกขั้นหลังจากร่วมมื อกับกลุ่มนักแฮก LulzSec 
ในการถล่มระบบคอมพิวเตอร์ของสำนักงานกฎหมายระดับประเ ทศ
ภายใต้ชื่อโครงการ Antisec เมื่อหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม 
ในวิดีโอที่ถูกเผย แพร่ล่าสุด ปฏิบัติการ Operation Facebook 
ถูกระบุว่าไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับโครงการ Antisec เนื่องจากเป็นคนละสาเหตุกัน

เนื้อความในวิดีโอปริศนาระบุว่า เหตุที่ทำให้กลุ่ม Anonymous พุ่งเป้าโจมตีที่ Facebook
เป็นเพราะกลุ่มพบว่าเฟซบุ๊กนั้นขายความลับของผู้ใช้ใ ห้กับสำนักงานรัฐบาล 
พร้อมกับเปิดทางให้สำนักงานเหล่านี้สอดแนมผู้ใช้ได้ท ุกคนทั่วโลก
เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้เฟซบุ๊กทุกคน 
กลุ่มจึงต้องการกำจัดเฟซบุ๊กทิ้งไปแทนที่จะปล่อยให้ช าวออนไลน์ต้องเป็น เหยื่อโดยไม่รู้ตัว

เนื้อความระบุว่า เฟซบุ๊กเป็นระบบเครือข่ายสังคมที่รู้เรื่องราวส่วนตั วของผู้ใช้มากกว่าที่คน 
ในครอบครัวรู้ โดยในจดหมายแถลงการณ์ปริศนานั้นมีการแสดงลิงก์ของสำน ักงาน ACLU 
ที่ประเมินว่าเฟซบุ๊กนั้นไม่มีการรักษาความเป็นส่วนต ัวที่เพียงพอ 
รวมถึงนานาเสียงวิจารณ์ต่อกรณีที่เฟซบุ๊กดักจับข้อมู ลในสมาร์ทโฟนของผู้ใช้ ไปโดยไม่ได้รับอนุญาต

สำหรับวันที่ 5 พฤศจิกายนนั้นถือเป็นวัน Guy Fawkes Day 
วันที่ชาวอังกฤษจะเฉลิมฉลองให้กับความล้มเหลวที่ Guy Fawkes พยายามจะเผารัฐสภาแดนผู้ดี
เมื่อปี 1650 ซึ่งกลายเป็นพล็อตเรื่องนิยายกราฟฟิคของ Alan Moore อย่าง V for Vendetta 
ที่อุดมด้วยเรื่องราวเน้นสาระการเมืองและความแค้นที่ ฝังลึกมานาน ตัวเอกของเรื่องหวังต่อต้านอำนาจรัฐ 
และโค่นล้มรัฐบาลฉ้อฉลเผด็จการเพื่อปลดปล่อยประเทศอั งกฤษให้เป็นอิสระ

ที่ผ่านมา หน้ากาก Guy Fawkes ที่ตัวเอกของเรื่อง V for Vendetta ใส่เวลาปฏิบัติภารกิจนั้น
ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของกลุ่ ม Anonymous มาตลอด ซึ่งแม้จะมีความเป็นไปได้ 
แต่ก็ยังไม่มีใครฟันธงว่าปฏิบัติการครั้งนี้จะเกิดขึ ้นจริงตามเนื้อหาใน วิดีโอ 
โดยวิดีโอดังกล่าวถูกโพสต์ไว้บนยูทูบตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคมที่ผ่านมา


ข้อความต้นฉบับจากวิดีโอข่มขู่เฟซบุ๊ก ขอบคุณข้อมูลจาก pcmag.com :

สามารถรับชมคลิปวีดีโอดังกล่าวได้จากลิงค์ด้านล่าง
http://www.youtube.com/watch?v=PajZwRHo0EA

credit : ArTzanarak@thaigaming

ก่อนตาย ควรอ่านให้จบ

พ่อของเขาเสียชีวิตตอนที่เขาอายุได้เพียงห้าขวบ 
เขาต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน ขณะอายุ 16 ปี 
ตอนอายุ 17 ปี เขาแสดงความสามารถพิเศษด้วยการตกงานติดต่อกันถึง 4 ครั้ง 

เขาแต่งงานตอนอายุ 18 ปี ปีถัดมาเขาได้เป็นพ่อคน 
แต่ชีวิตคู่ของเขาก็มีความ สุขอยู่ได้ไม่นานนัก อายุ 20 ปี ภรรยาของเขาพาลูกสาวหนีไป 
เพราะทนใช้ชีวิตกับ เขาไม่ได้ 
ช่วงอายุ 18-22 ปี เขาประกอบอาชีพเป็นคนขายตั๋วรถไฟแล้วก็ล้มเหลว 
แต่เขาก็ยัง ต่อสู้กับชีวิตด้วยการหาโอกาสให้ชีวิต แต่ทุกอย่างที่เขาทำก็ไม่วายล้มเหลว เหมือนเดิม 

เขาสมัครเข้าเป็นทหารในกองทัพแต่ก็ถูกขับออกมา 
หันเหมาสมัครเข้าโรงเรียนกฎหมาย แต่ด้วยความสามารถอันเอกอุ เขาถูกปฏิเสธอย่างไม่ใยดี 

แล้วเขาก็ไปทำงานเป็นพนักงานขายประกัน แน่นอนที่สุด เขาล้มเหลวอีกครั้ง (แล้ว) 

แค่เกริ่นมาข้างต้นก็คงไม่ต้องบอกว่า ชายคนนี้ทำอะไรไม่ได้เรื่องเลยสักอย่าง ! 
แต่ก็อย่างว่าแหละ คนเราอะไรมันจะไม่ได้เรื่องไปเสียหมด 
สิ่งเดียวที่เขาพบว่า เขาทำได้ดีก็คือ การทำอาหาร 
ดังนั้นเขาจึงไปทำงานเป็นพ่อครัวและคนล้างจานในร้าน 
กาแฟเล็กๆ แห่งหนึ่ง แต่นั่นก็ไม่ใช่ชีวิตที่ทรงคุณค่าอะไรเลยในความคิดของเขา 

ชีวิตที่ร้านกาแฟ เขามีเวลามากมายที่จะนั่งคิดและทำอะไรได้มากพอสมควร 
แต่เขา กลับเลือกใช้เวลานั่งคิดถึงภรรยาและลูกสาวของเขา
เขาเพียรพยายามติดต่อภรรยาและอ้อนวอนให้เธอกลับมาใช้ชีวิตร่วมกันอีกครั้ง แต่ได้รับคำปฏิเสธ 
เขาเปลี่ยนความ คิดใหม่ เขาไม่ต้องการภรรยาอีกต่อไป ขอเพียงแต่ได้ลูกสาวกลับคืนมาก็พอ 
เพราะเขา รักและคิดถึงเธอเหลือเกิน 
เขาใช้เวลาว่างในร้านกาแฟวางแผนในการนำลูกสาวกลับคืนมาสู่อ้อมอกของตน 
เขาวางแผน ทุกขั้นตอนละเอียดยิบ คำนวณทุกฝีก้าว 
ในที่สุดแผนการอันแสนยาวนานก็เสร็จสิ้นลง 
เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ คุณพ่อวัยรุ่นผู้น่าสงสารซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้นอกบ้านหลังเล็กๆ ของภรรยาของ 
เขา 
เฝ้ามองลูกสาวของเขาเล่นอยู่หน้าบ้านและเตรียม พร้อมที่จะ ลักพาตัวเธอ! 

แล้ววันที่ตั้งใจไว้ก็มาถึง เขาซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้อย่างระมัดระวัง แม้จะรู้สึกกังวล ตื่นเต้น และตระหนก 
อยู่บ้าง 
แต่นั่นมิอาจเทียบได้กับความรักที่เขา มีต่อลูก เขาตัดสินใจที่จะต้องลงมือทำให้สำเร็จ แต่แล้วอนิจจา 
... 
วันนั้นลูก สาวของเขาไม่ออกมาเล่นหน้าบ้านเลย 

แม้กระทั่งความพยายามในการก่ออาชญากรรม เขาก็ยังล้มเหลว 
เขารู้สึกเหมือนคนที่ พ่ายแพ้ต่อโชคชะตา รู้สึกเหมือนคนไม่มีค่า 
และเหมือนพระเจ้ากำหนดมาแล้วว่าเขาจะ ต้องอยู่เพียงลำพังไปตลอดชีวิต 

แต่เหมือนปาฏิหาริย์ ในที่สุดเขาก็สามารถโน้มน้าวภรรยาให้กลับมาอยู่ด้วยกันได้
พวกเขาทำงานด้วยกันในร้านกาแฟแห่งนั้น ทำอาหารและล้างจานอยู่จนกระทั่งเขาเกษียณ ตอนอายุ 65 
ปี 

วันแรกของการเกษียณอายุ เขาได้รับเช็คเงินประกันสังคมฉบับแรกของเขา เป็นเงิน 105 ดอลลาร์ 
( ราวสี่พันบาท) 
เช็คดังกล่าวเหมือนเป็นตัวแทนของรัฐที่ฝากมาบอกเขาว่า เขาไม่อาจจะดูแลตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว 
ทั้งหมดที่เขาทำได้ก็คือใช้ชีวิต อยู่จนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิตด้วยเงินสนับสนุนจากรัฐบาล 

มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขารู้สึกถูกปฏิเสธ ล้มเหลว เสียกำลังใจ และท้อแท้ 
ชีวิต ของเขาได้รับความผิดหวังอีกครั้งหนึ่งหลังจาก 65 ปีอันยาวนาน 

เขาบอกกับตัวเองว่าถ้าเขาดูแลตัวเองไม่ได้ ต้องมีชีวิตอยู่โดยให้รัฐบาลดูแล 
เขาก็ไม่สมควรจะมีชีวิตอีกต่อไป เขาตัดสินใจ (อีกแล้ว) ว่า จะฆ่าตัวตาย 
เขาหยิบกระดาษหนึ่งแผ่นกับดินสอหนึ่งแท่ง 
นั่งลงใต้ต้นไม้ในสวนหลังบ้านอย่างสงบ ตั้งใจที่จะเขียนคำสั่งเสียและพินัยกรรม 

แต่แทนที่จะทำเช่นนั้น กลับเหมือนมีอะไรมาดลใจ เหมือนเป็นครั้งแรกที่ชีวิตเกิดปัญญา 
เขาเริ่มต้นเขียนสิ่งที่เขาควรจะเป็น ชีวิตที่เขาควรจะมี และสิ่งที่เขาปรารถนาในช่วงชีวิตสุดท้ายที่ 
เหลืออยู่ 
เขาตกใจมาก เมื่อค้นพบความจริงในชีวิตว่า เขายังไม่เคยทำอะไรสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันกับเขาสัก อย่างเลย ! (เพิ่งนึกได้)
เขานั่งครุ่นคิดกับตัวเองอย่างจริงจัง มีบางอย่างที่เขาสามารถทำได้ 
บางอย่างที่คนที่รอบตัวทำสู้เขาไม่ได้ ใช่ ! เขารู้วิธีปรุงอาหาร 
ชีวิตเกือบทั้งหมดของเขา อยู่ที่หน้าเตาร้อนๆ มาตลอด เขาตัดสินใจกับตัวเองอีกครั้ง 
ในที่สุดเขาเลือกที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อทำอะไรสักอย่างในชีวิตให้ประสบความสำเร็จ 

เขาตั้งใจว่าถ้าเขาจะตาย เขาก็อยากจะตายในแบบที่ได้ลองพยายามเป็นใครสักคน 
และทำบางสิ่งบางอย่างที่มีค่าด้วยชีวิตที่เหลืออยู่น้อยนิดของเขา 

เขาลุกจากเงาไม้ มุ่งหน้าไปยังธนาคารในเมือง เพื่อขอยืมเงินจำนวน 87 ดอลลาร์จากเช็คประกัน 
สังคมฉบับต่อไปของเขา 
ด้วยเงิน 87 ดอลลาร์นั้น เขาซื้อกล่องเปล่าและ ไก่จำนวนหนึ่ง 

จากนั้นเขาก็กลับไปที่บ้านและลงมือทอดไก่ที่ซื้อมาด้วยสูตรพิเศษที่เขาได้คิดค้นขึ้นมาในช่วงหลายปีที่ทำงาน 
ที่ร้านกาแฟนั้น 

เขาเริ่มขายไก่ทอดของเขาตามบ้านต่างๆ ในเมืองคอร์บิน รัฐเคนตั๊กกี้ของเขา 

แล้วคนขายไก่ทอดอายุ 65 ปีคนนั้นก็กลายมาเป็นผู้พันฮาร์แลนด์ แซนเดอร์ส 
ราชาผู้เป็นที่รักของอาณาจักร Kentucky Fried Chicken หรือที่เรารู้จักกันในนาม KFC นั่นเอง 

ตอนอายุ 65 ปี เขาเป็นเหมือนอนุสรณ์แห่งความล้มเหลวที่ยังมีชีวิต แต่ในวัย 85 ปี 
เขาก็กลายเป็นเศรษฐีพันล้านและมีชื่อเสียงไปทั่วโลก มีผู้คนให้เกียรติเขาทั่วประเทศ



เชื่อว่าเวลาเราร้องไห้ถึงชีวิตที่ผ่านมา หรือเวลาเราคาดหวังกับอะไรสักอย่างมันจะต้องล้มเหลวทำให้เรารู้สึกไม่อยากจะใช้ชีิวิตที่มีอยู่ต่อไป หรือบางคนถึงกับท้อแท้ชีวิตจนไม่สามารถทำอะไรได้ ลองอ่านบทความนี้ให้จบ แล้วมองตัวเองในกระจกอีกครั้ง 

วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2554

10 อาวุธสุดแสบของ อเมริกา O__O!!

คุณเลยคิดบุกอเมริกาหรือเปล่า? รู้ไหมอเมริกานั้นเป็นเจ้าแห่งอาวุธสุดทันสมัย อาวุธทุกอย่างสามารถใช้ได้จริงไม่ได้โม้ ซึ่งอาวุธเหล่านี้เป็นอาวุธสุดแสบที่ทำให้ศัตรูรู้สึกแสบๆ คันๆ แบบเกาแล้วเกาอีก จนไม่รู้จะแก้มาแล้ว ในศึกทาลีบันกับอีรัก
LRAD Weapon long range acoustic device



คลื่นเสียงมหาบรรลัยหู เป็นเครื่องส่งคลื่นเสียงความถี่สูงที่มีความดังไปยังที่ที่ศัตรูที่ประจำอยู่ในระยะไกล อำนาจขนาดทำให้แก้วหูศัตรูแตก เป็นหูหนวกไปในทันทีล่าสุดสามารถพัฒนาให้สามารถกระแทกหัวใจทำให้หัวใจหยุดเต้นได้

Corner Shot 40




ปืนแบบกระสุนความเร็วสูง สามารถเอ็กซ์เรย์ได้ สามารถใช้เฝ้าตรวจสอบที่มืดๆ หาจุดที่จะขว้างระเบิดน้อยหน่าได้ นอกจากนี้ยังมีถังทรงกระบอกสามารถหมุนตัวถึง 63 องศา เหมาะสำหรับคนคำนวณเก่ง

Barrett M107 Rifle



ปืนยาวดักยิงแบบเคลื่อนที่ ออกแบบคลาสสิก ดีกว่าปืนยาว M107 ในอดีต เหมาะสำหรับพายุทราย มีระยะหวังผล 1500 เมตร มีพลังทำลายล้างสูง

Metal Storm



ปืนอัตโนมัติที่มีพลังทำลายมากที่สุดของโลกก็ว่าได้ รูปร่างคล้ายกองซ้อนกันเป็นรูปทรงกระบอก นอกจากกระสุนที่ยิงมาแบบห่าฝนยังมีส่วนผสมของผงเหล็กเพื่อเพิ่มการทำลายล้างไว้ด้วย

Thermobaric Bomb



ระเบิดที่เหนือกว่าระเบิดนาปาล์ม เพราะมันคือระเบิดที่บรรจุเชื้อเพลิงที่สามารถระเบิดลุกเป็นกลุ่มไฟสุดร้อนแรง ไม่ว่าจะเป็นถ้ำในหลืบถ้ำ หรือแม้แต่ซอกซอยที่ซุ่มของสัตรู โดยมันทำงานอย่างเป็นระบบคือระบบแรกเป็นระเบิดทำลายที่กำบังและระบบที่สองคือเพลิงเผาซ้ำมีความร้อนสูงถึง 3000 องศาเซลเซียส ซึ่งสามารถหลอมละลายสรรพสิ่งให้เป็นจุณไปในพริบตา อย่าว่าคนเลย ปืนที่ใช้ก็โดนหลอมเป็นก้อนทันที

EMP Bomb (Episode: Future Shock)



ผลิตโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรเลีย “ระเบิดแม่เหล็ก” วิถีมันสามารถไปทั่วทิศทาง โดยวงจรอิเล็กโทนิกของมันสามารถตรวจจับวัตถุที่อยู่ใกล้ๆ ได้ เช่น เรือ และเมื่อมันพบเป้าหมาย ด้วยอำนาจของแม่เหล็กสามารถเกาะและทำลายเป้าหมายในทันที

Airborne Laser



เลเซอร์ติดเครื่องบิน โดยเลเซอร์นี้ประกอบด้วยโลหะไอโอดีนธาตุออกซิเจนสารเคมีที่ทรงพลังในการเอ็กซ์เรย์ (ประมาณว่าคล้ายประภาคาร) เหมาะสำหรับตรวจแหล่งสะสมอาวุธของศัตรู และถ้ามีการพัฒนาปรับปรุงจะสามารถให้สามารถจุดไฟระบิดเป้าหมายนั้นได้อีกด้วย

Excalibur



ขีปอาวุธปืนใหญ่ล่าสุด เหมาะสำหรับยิงระยะไกลอย่างยิ่ง มีความแม่นยำ นอกจากนี้ภายในยังมีระเบิดลูกเล็กๆ อีก เมื่อถึงเป้าหมายมันจะปล่อยลูกเล็กรูปร่างคล้ายลูกยางฮอตกี้ ๆ ออก เพื่อให้มันทำลายเป้าหมายเป็นวงกว้าง

Sensor Fuzed Weapon (Episode: The Power of Fear)



ฉายามันคือ “ระเบิดตาพิทย์”บรรจุระเบิดขนาดย่อมที่มีอานุภาพสูงสามารถทำลายเกราะที่หุ้มรถถังทุกชนิดได้ภายใน 10 ลูก แถมแต่ละลูกมีร่มชูชีพติดอยู่พร้อมตาอินฟาเรดที่มีความไวสูงต่อเป้าหมายที่จะหล่อนระเบิดลงไปบนรถถังหุ้มเกราะของศัตรูและทำลายเกราะที่หุ้มและทหารที่อยู่ภายในเละในพริบตา

MOAB Bomb (Episode: The Power of Fear)



ฉายาของมันคือ “มารดาระเบิด” โดยระเบิดนี้ใช้ระบบดาวเทียมในการติดตามถล่มเป้าหมาย ซึ่งเหนือกว่ารุ่นแรกคือเมื่อถึงเป้าหมาย มันจะระเบิดทันที แรงระเบิดของดินระเบิดขนาด 9,000 กก. จะล้างสรรพสิ่งให้วอดวายในพริบตาในรัศมี 400 ไมล์
เครดิต ๛•l3L4ck_4Ngl€•๛

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554

สร้างสกินให้ facebook แบบ hi5 ได้แล้ว!



มีสกิน facebook ต่างๆ ให้เลือกมากมาย
ที่ www.fbskins.com

สะ สะ สะ สะ สะสนรึปล่าวว ; 
มีอีกหลายแบบเลย แถมทำเองได้ด้วย ;D

---------

สอนนน . H o w to ?

1. เปิดเว็บ กดเปิดFBskins










*สกินนี้ใช้ได้เฉพาะ IE กับ firefox นะครับ

----------
H o w t o c a n c l e s k i n f b. หรือ วิธีการลบสกินออก



ที่มา siamzone.com/board/view.php?sid=1787841

วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554

ตำนานแห่ง Atlantis นครที่สาบสูญ


ตำนานแห่ง
“แอตแลนตีส” อารยะนครที่สาบสูญ

การค้นหา
“มหานครแอตแลนตีส” มีมาตลอดทุกยุคทุกสม
ัย
ซ้ำยังเป็นปริศนาแห่งโลกมหัศจรรย์ให้เหล่าผู้ชื่นชอบเรื่องราว
ลี้ลับได้ค้นคว้าหาตำตอบกันมากต่อมาก
ทั้งในรูปแบบบทความหรือการค้นคว้าทางวิชาการ หนังสือ ภาพยน
ตร์ และเรื่องเล่าต่อๆ
กันมา


ทั้งนี้ ศ.ดร.สุทัศน์
ยกส้าน ภาคีราชบัณฑิตยสถาน ก็เคยเขีย
นถึง ที่มาที่ไปของ
“แอตแลนตีส” ไว้อย่างสมบูรณ์
ผู้จัดการวิทยาศาสตร์จึงนำมาเผยแพร่ปร
ะกอบ ในคราวที่เรื่องราวของ
“แอตแลนตีส” กลับมาเป็นที่กล่าวถึงกันอีกครั้ง

อาณาจักรแห่งอารยธรรมจากบทบันทึกของ“เพลโต”

ย้อนอดีตไปเมื่อ
2,300 ปีก่อนนี้ได้มีนักปราชญ์ชาติกรีกผู้ยิ่งใหญ่ ท่านหนึ่งชื่อ
"เ
พลโต" (Plato)
ท่านได้เรียบเรียงบทสนทนาไว้สองบทชื่อ “ไทมาอุส” (Timaeus) และ “ครีตีอัส”
(Critias) บทสนทนานี้ได้กล่าวถึงครีตีอัสผู้เป็นทวดขอ
งเพลโต
ว่าปู่ของท่านซึ่งมีนามว่า ผู้เฒ่าครีตีอัส (Critias the Elder)
ได้ยินนิทานที่พ่อของท่านที่ชื่อ “ดรอพิเดส” (Dropides)
เล่ามาอีกต่อหนึ่งว่าเพื่อนของท่านที่ชื่อซาลอน (Solon) ซึ่งมีชีวิตอยู่ในราวปี
พ.ศ.10 (533 ปีก่อนคริตศักราช)


"เพลโต"
มหาปราชญ์แห่งยุค ผู้เริ่มเผยแพร่มหานครที่สาบสูญ

ดรอพิเดสได้ยินได้ฟังมาจากพระชาวอียิปต์แห่งวิหาร
Sais ในประเทศอียิปต์ว่า มีอาณาจักรใหญ่แห่งหนึ่งที่รุ่งเรืองและมีอำนาจมาก ชื่อ
“แอตแลนตีส” (Atlantis) อาณาจักรนี้ตั้งอยู่บนเกาะๆ หนึ่งกลางมหาสมุทรแอตแลนติก
และเกาะมีขนาดกว้างใหญ่ไพศาลมากแต่ในเวลาต่อมาเหตุการณ์แผ่นดินไหวได้ทำลายเกาะ
และเกาะถูกคลื่นยักษ์ในทะเลไหลท่วมทับจมหายไปในทะเลอย่างไม่มีใครคนใดพบเห็นเกาะอีกเลย 

ในบทสนทนาที่ชื่อครีตีอัสนั้น
เพลโตได้เล่าถึงอาณาจักรแอตแลนตีสว่า ประชาชนของอา
ณาจักรนี้เป็นลูกหลานของเทพโพเซดอน
(Poseidon) แห่งทะเล บนเกาะมีภูเขา มีแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีป่าไม้
แร่และสัตว์ป่าเช่น ช้าง มากมาย อาณาจักรนี้มีกษัตริย์ปกครองถึง 10 พระองค์
ซึ่งทุกองค์เป็นบุตรที่ถือกำเนิดจากนางไคลโต (Cleito) และเทพโพเซดอนและทุกๆ 5 ปี
กษัตริย์ที่กำลังปกครองแอตแลนตีส
จะล่าวัวศักดิ์สิทธิ์เพื่อนำไปถวายเป็นเทพบูชาแด่โพเซดอน

เพลโต
ยังเล่าอีกว่าในเมืองหลวงของอาณาจักร แอตแลนตีส
มีบ่อน้ำร้อนสำหรับการอาบน้ำในฤดูหนาว
และบ่อน้ำเย็นสำหรับการอาบน้ำในฤดูร้อนอีกด้วย
ซึ่งสถานอาบน้ำเหล่านี้ยังถูกแบ่งออกเป็นระดับๆ สำหรับคนในวรรณะต่างๆ เช่น
สำหรับกษัตริย์ คนธรรมดา และม้า ตัวเกาะ แอตแลนตีส
ซึ่งมีกำแพงล้อมรอบนั้นยังถูกแบ่งออกเป็นวงแหวนที่เรียงซ้อนกัน 5 วง
โดยมีสะพานเชื่อมโยงระหว่างวงเหล่านั้นและเรือเดินสมุทรสามารถลอยลำเข้าไปได้ถึงใจกลางเมือง
นอกจากนี้ชาวเมือง แอตแลนตีส ยังมีการศึกษา
มีความสามารถด้านการทำสงครามและมีศีลธรรมสูง

แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายชั่วอายุคน
ความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักร แอตแลนตีส ก็ได้เริ่มสลายจากความเป็นอารยะ ชาว
แอตแลนตีส ได้เปลี่ยนเป็นคนกักขฬะที่กระหายและอำนาจ เทพเจ้าซีอุส (Zeus)
จึงได้ตัดสินพระทัยลงโทษอาณาจักรแอตแลนตีสทันที แต่เมื่อบทสนทนาครีตีอัส
กล่าวถึงตรงนี้
เพลโตได้ตัดสินใจจบการเล่าเรื่องอย่างฉับพลันทันใด



"โซรอน"
เจ้าของตำนานแห่งแอตแลน
ตีส

50
ปีหลังจากที่เพลโตได้เสียชีวิตลง ในปี พ.ศ. 202
อนุชนรุ่นหลังและเหล่าศิษยานุศิษย์ก็ได้พยายามหาคำตอบว่า อาณาจักรแอตแลนตีส
ของเพลโตอยู่ที่ใดบนโลก และอาณาจักรนี้มีหรือไม่

อริสโตเติล
(Aristotle) ผู้เป็นศิษย์เอกคนหนึ่งของเพลโต คิดว่า
แอตแลนตีสคืออาณาจักรในจิน
ตนาการของเพลโตที่ไม่มีตัวตน
และแม้แต่ในยุคของผู้เฒ่าไพลนี (Pliny the Elder)
ผู้เป็นนักประวัติศาสตร์โรมัน
ที่มีชื่อเสียงราวปี
พ.ศ. 620 ความเชื่อและความไม่เชื่อในเรื่องของ แอตแลนตีสก็ยังคงปรากฏอยู่
โดยพวกที่เชื่อเรื่องนี้มักจะอ้างว่า เพลโตเป็นนักปราชญ์ที่มีคุณธรรม ดังนั้น
ในการเขียนบทประพันธ์ใดๆ ท่านย่อมเขียนอย่างมีเหตุผล และกลั่นกรองว่ามีความถูกต้อง
ส่วนคนที่ไม่เชื่อก็มีมากมายเพราะอ้างว่าถ้า แอตแลนตีสมีจริง
น่าจะมีคนพบเห็นซากของอาณาจักรบ้าง
แต่ประวัติศาสตร์ก็ได้แสดงให้เห็นตลอดเวลาก
ว่า 2,000
ปีนี้ ไม่มีใครประสบความสำเร็จในการเห็น แอตแลนตีส เลย



ถ้า แอตแลนตีส มีจริง
อาณาจักรนี้ควรตั้งอยู่ ณ ที่ใด

เพลโต
ได้เขียนไว้ว่า แอตแลนตีส ตั้งอยู่เลย "พิลลาร์ ออฟ เฮอร์คิวลีส"
(Pillars
 of
Hercules) “เสาหินแห่งเฮอร์คิวลีส” ออกไป ซึ่งในปัจจุบันพิลาร์หรือเสาหินดังกล่าว
คือช่องแคบยิบรอลตา (Gibraltar) ดังนั้นแอตแลนตีส จึงควรอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก
ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีใครรู้จักดีเพราะแอตแลนติกเป็นพื้นน้ำที่ยังไม่มีใครกล้าข้าม

ดังนั้นเกาะสวรรค์ต่างๆ
ที่ปรากฏในนวนิยายกรีกยุคนั้นจึงมักจะถูกกำหนดให้ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแอนแล
นติกทั้งสิ้

พิลาร์
ออฟ เฮอร์คิวลีส ที่เพลโตระบุว่าชี้ตำแหน่งของ "แอตแลนตีส"
ซึ่งปัจจุบันเชื่อว่าเป็น "ช่องแคบยิบรอลตา"

ในปี พ.ศ.
2096 ซึ่งเป็นเวลาหลังจากที่โคลัมบัส (Columbus) ได้พบทวีปอเมริกาแล้ว 50 ปี
นักประวัติศาสตร์ชาวสเปนท่านหนึ่งชื่อ “ฟรานเซสโก โลเปส โด โกมารา” (Francesco
Lopes do Gomara) ได้เสนอแนะว่าหมู่เกาะอินเดียตะวันตก (West Indies)
และทวีปอเมริกาคือแอตแลนตีส แต่ไม่นานความคิดที่ว่าอเมริกาคือ แอตแลนตีส
ก็เริ่มหมดความเชื่อถือ

แต่คนหลายคนที่ยังคลั่งไคล้ในมนต์เสน่ห์ของ
แอตแลนตีส ก็ได้คิดต่อไปว่า

อาณาจักรนี้น่าจะตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติกมากกว่าที่หมู่เกาะอะซอเรส (Azores)
หรือ มาดีราส (Madeiras) หรือ คานารีส (Canaries)
แต่การศึกษาทางโบราณคดีที่หมู่เกาะเหล่านี้ไม่ได้ให้หลักฐานใดๆ ว่าเคยเป็นอาณาจักร
อตแลนตีส
มาก่อนเลย เมื่อไม่มีหลักฐานใดๆ ในแอตแลนติก
ผู้คนที่ยังมีความศรัทธาในเรื่องของอาณาจักร แอตแลนตีส
ก็ได้หันมาพิจารณาคำ
ของเพลโต
ที่ว่า “พิลาร์ ออฟ เฮอร์คิวลีส” นั้นจริงๆ แล้ว เพลโตน่าจะหมายถึงช่องแคบ
“ดาร์ดาแนลเลส” (Dardanelles) ของทะเลดำ (Black S
ea)
มากกว่าช่องแคบยิบรอลตา
ดังนั้นการค้นหาแอตแลนตีสจึงได้ถูกย้ายจากมหาสมุทรแอตแลนติกมากระทำในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
(Mediterranean) แทน


เกาะเทรา
ที่ปกคลุมไปด้วยฝุ่นควันภูเขาไฟ ซึ่งตอนแรกเข้าใจกันใหญ่ว่าเป็น
"แอตแลนตีส"

ในปี พ.ศ.
2443 เมื่อเซอร์ อาร์เธอร์ อีวานส์ (Sir Arthur Evans)
แห่งอังกฤษได้ขุดพบพระราชวังนอสซอส (Knossos) ของอารยธรรมไมนวน (Minoan) บนเกาะครีท
(Crete) ในทะลเมดิเตอร์เรเนียน ทำให้ หนังสือพิมพ์ “ไท
ม์ส” (The
Times) ได้พาดหัวข่าวว่าอีวานส์พบแอตแลนตีส แล้ว แต่ก็ไม่มีใครยอมรับ
เพราะการสำรวจทางโบราณคดี และทางธรณีวิทยาที่กระทำในเวลาต่อมาได้แสดงให้เห็นว่า
เกาะครีทไม่เคยจมลงใต้ทะเลเลย



เมืองบนเกาะครีท-อารยธรรมไมนวน
ต้นทฤษฎีสู่แอตแลนตีส

และอีก 30
ปีต่อมา เมื่อมารีนาสโตส (S. Marinastos) นักโบราณคดีชาวกรีกได
้ขุดพบวัตถุโบราณและสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ
ของอารยธรรมไมนวน บนเกาะครีท เขาได้พบว่าวัตถุเหล่านี้ถูกฝังอยู่ภายใต้ฝุ่นภูเขาไฟ
ที่ได้ระเบิดบนเกาะเทรา (Thera) เมื่อ 4,000 ปีก่อนนี้
และฝุ่นได้ลอยไกลจากเกาะเทรามาตกปกคลุมเกาะครีตซึ่งอยู่ไกลกันถึง 96 กิโลเมตร
ดังนั้น ในปี พ.ศ. 2482 มารีนาสโตสจึงได้เสนอความคิดว่า อารยธรรมไมนวน บนเกาะครีท
ต้องล่มสลาย เพราะได้เกิดการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ ของภูเขาไฟ บนเกาะเทรา Thera
(ซึ่งปัจจุบันเรียกเกาะซานโตรีนี (Santorini))
เหตุการณ์แผ่นดินไหวอย่างรุนแรงในครั้งนั้นได้ทำให้พระราชวังนอสซอส และเมืองต่างๆ
ของอาณาจักรไมนวนพังทลาย
และเถ้าถ่านและฝุ่นละอองจากภูเขาไฟได้ถล่มถมทับสิ่งปรักหักพังเหล่านี้จนหมดสิ้น

เมื่อมารีนาสโตสได้ขุดพบหลักฐานทางโบราณคดีที่สนับสนุนความคิดนี้ ที่เมืองอโครตีรี
(A
krotiri)
ซึ่งอยู่ทางใต้ของเกาะเทรา เขาก็ได้พบถนนหนทาง เครื่องใช้ เช่น
เครื่องปั้นดินเผามากมาย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอโครตีรี
ก็เคยเป็นดินแดนหนึ่งของอารยธรรม ไมนวน บนเกาะครีทเช่นกัน



ประวัติศาสตร์ได้จารึกไว้ว่าอารยธรรมไมนวนเป็นอารยธรรมโบราณที่เคยรุ่งเรืองในแถบทะเล
เมดิเตอร์เรเนียน เมื่อประม
าณ 4,000
ปีก่อนนี้ และอาณาจักรนี้มีจุดศูนย์กลางของความเจริญอยู่ที่เกาะครีท
ชาวไมนวนมีอารยธรรมสูง มีกฎหมายใช้ มีเทคโนโลยีการถลุงแร่ รู้จักขุดคลอง อุโมงค์
และสร้างท่าเรือ นอกจากนี้ชาวไมนวนยังรู้จักสร้างบ้านที่มีที่ระบายอากาศ
และสร้างห้องน้ำที่มีชักโครกอีกด้วย ส่วนในเรื่องค้าขายนั้นชาวไมนวนชอบค้าข้าวสาลี
ทองแดง ตะกั่วและเครื่องปั้นดินเผากับผู้คนจากที่ไกลๆ
อาณาจักรไมนวนมีเมืองท่าสำคัญอยู่บนเกาะเทรา แต่เมื่อราว 3,500 ปีมานี้เอง
อาณา
จักรไมนวนก็ได้สลายมลายสูญไปทำนองเดียวกับ
แอตแลนตีส ของเพลโต

การศึกษาของมารีนาสโตส
ในเวลาต่อมาได้ทำให้เรารู้ว่าเมื่อ 1,520 ปีก่อนคริสตกาลนั้น ภูเขาไฟบนเกาะ
เทราได้ระเบิด 3 ครั้ง และในครั้งสุดท้ายนั้น พลังระเบิดของภูเขาไฟที่สูงถึง 1,600
เมตรมีความรุนแรงมากยิ่งกว่าการระเบิดของภูเขาไฟกรากาตัว (Krakatoa)
ในอินโดนีเซียที่ระเบิดเมื่อปี พ.ศ. 2462 ถึง 5 เท่า เสียงภูเขาไฟระเบิด
ในครั้งนั้นสามารถได้ยินไปไกลถึง 3,000 กิโลเ
มตร
ทำเกาะเทราให้ทรุดจมลงใต้ทะเล ฝุ่น
ควันและเขม่าภูเขาไฟได้พุ่งขึ้นฟ้าบดบังแสงอาทิตย์ ทำให้พื้นที่ 400
ตารางกิโลเมต
รในบริเวณรอบๆ
ภูเขาไฟเปลี่ยนสภาพจากกลางวันเป็นกลางคืน เถ้าถ่านและลาวาที่หนาถึง 30
เมตรได้ทับถมอารยธรรมไมนวนบนเกาะเทราจนมืดสนิท

และอีก 40
ปีต่อมา การยุบตัวของปล่องภูเขาไฟบนเกาะเทราได้ทำให้ทะเลบริเวณรอบเกาะปั่นป่วน
คลื่นยักษ์ (tsunami) ที่มีความสูงถึง 30
เมตรได้ไหลพุ่งเข้าถล่มเกาะครีตมีผลทำให้อารยธรรมไมนวนถึงจุดจบ
แล้วอารยธรร
มไมซีเนียน
(Mycenean) ก็ได้เข้ามาแทนที่ทันที

เหตุการณ์ปฐพีถล่มล้างเผ่าพันธุ์ครั้งนั้น
อธิบายชะตากรรมของครีทได้อย่างสมบูรณ์และมารีนาสโตสเองก็คิดว่าเหตุการณ์นี้อธิบายการสูญสลายของ
แอตแลนตีส ด้วยทฤษฎี “ครีท-เทรา” (Crete-Thera) จึงเป็นทฤษฎี แอตแลนตีส
ที่ผู้คนยอมรับกันมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้ประมาณ 20 ปี
ความเชื่อในทฤษฎีนี้ก็เริ่มคลอนแคลนอีก เพราะนักประวัติศาสตร์

ได้พบหลักฐานเพิ่มเติมว่าภูเขาไฟบนเกาะเทราได้ระเบิดก่อนที่พระราชวังนอสซอสบนเกาะครีทจะถูกถล่มถึง
150 ปี

ภาพจำลองอาณาจักรแอตแลนตีสที่อยู่กันเป็นสัดส่วน




หรือนครที่สาบสูญก็แค่คำเปรียบเปรยของจอมปราชญ์

ในหนังสือชื่อ
“มิสทรี ออฟ ดิ แอนเชียน เวิลร์ด” (Mysteries of the Ancient World)
หรือปริศนาลึกลับแห่งโลกโบราณ ซึ่งมี ฟรานเดอร์ (J. Flanders) เป็นบรรณาธิการ
และพิมพ์วางตลาด เมื่อเดือนธันวาคม 2541 โดยได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับ แอตแลนตีส
ว่า

”เพลโต”
เป็นบุคคลเดียว ที่ได้เขียนบันทึกเกี่ยวกับอาณาจักรนี้
และตั้งแต่นั้นมาใครก็ตาม
ที่พูดถึง
แอตแลนตีส ต่างก็จะอ้างเพลโตทั้งสิ้น จากเอกสารและหลักฐานทั้งหลาย
ที่ปรากฏไม่มีใครรู้อย่างมั่นใจ 100% ว่า เพลโตได้ตั้งใจเขียนเรื่อง แอตแลนตีส
ขึ้นมาเพื่อลวงโลก หรือไม่คนบางคนคิดว่าปราชญ์ โซลอน (Solon)
ที่เพลโตอ้างว่าได้ยินเรื่อง แอตแลนตีส จากพระชาวอียิปต์นั้นได้นำ "ข่าว"
นี้มาบอกต่อ ๆ กันไปจากปากหนึ่งสู่อีกปากหนึ่ง แต่วิธีการถ่ายทอดข้อมูลลักษณะนี้
มักจะทำให้เนื้อ
หาของเรื่อง
ผิดเพี้ยนไปเสมอ

และถ้าแอตแลนตีส
มีจริงดังที่ เพลโต เขียนไว้ เหตุใดพระอียิปต์ จึงไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้เฮโรโดตัส
( Herodotus) นักประวัติศาสตร์ชาติกรีกที่ได้เคยไปเยือนอียิปต์เมื่อ 450
ปีก่อนคริสต์กาลฟัง และถ้าข้อมูล แอตแลนตีส มาจากพระอียิปต์แต่เพียงแห่งเดียว
จริงและข้อมูลนั้นมีเรื่องที่เกี่ยวกับกรีกด้วย เราก็ไม่สามารถจะมั่นใจได้ว่า
ข้อมูลของชาวอียิปต์ ที่เกี่ยวกับเรื่องราวของชาวกรีกเมื่อ 4,000
ปีก่อนนั้นเป็นเรื่องราวที่ถูกต้อง 100%



ประเด็นเหล่านี้ทำให้นักวิชาการ
ปัจจุบันส่วนใหญ่เชื่อว่าอริสโตเติล คิดว่าถูกที่ว่า แอตแ
ลนตีส
คืออาณาจักรนิยายที่ไม่มีตัวตน และ เพลโต ได้เขียนเรื่อง แอตแลนตีส
ขึ้นมาเพื่อสอนใจ
โดยใช้ข้อมูลภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์มาประกอบอย่างค่อนข้างสมจริงตามแนวหนังสือชื่อ
“เดอะ รีพับบลิก” (The Republic) ของ เพลโต เอง

นักวิชาการเหล่านี้
ได้ชี้ให้เห็นว่านิทานเรื่อง แอตแลนตีส
มีเนื้อหาที่ละม้ายคล้ายคลึงกับประวัติศาสตร์ของสงครามเปโลโปนนีเชียน
(Peloponnesian) ที่เกิดขึ้นเมื่อ 431-404 ปีก่อนคริสต์กาล
โดยเพลโตได้สมมต
ิให้
แอตแลนตีส แทนเอเธนส์ (At
hens)
และเอเธอนส์ คือสปาร์ตา (Sparta)
ในสงครามครั้งนั้นได้มีคลื่นยักษ์พุ่งเข้าถล่มป้อมปราบของฝ่ายเอเธนส์บนเกาะแอตาแลนเต
(Atalante) จนราบเรียบเช่นกัน

ถึงแม้เพลโตจะเขียนเรื่อง
“แอตแลนตีส” ขึ้นมาโดยอาศัยข้อมูลจากหลายแห่งก็ตาม
แต่ก็มีคนอีกหลายคนที่มิได้คิดว่าเรื่องทั้งหมดเป็นนิยาย
คนเหล่านี้มีความรู้สึกอยากจะให้ “แอตแลนตีส” มีจริง
และอยากจะเห็นแอตแลนตีสอีกครั้ง โ
ดยอยากจะเห็นการผจญภัยในการค้นหา
“แอตแลนตีส” ใต้ทะเล เหมือนเช่นที่ตอนกัปตันนีโม (Nemo) ได้ใช้เรือดำน้ำชื่อนอติลุส
(Nautilus) ลงไปสำรวจใต้ทะเลสองหมื่
นโยชน์ในนวนิยายเรื่อง
“ใต้ทะเล 20,000 โยชน์” (Twenty Thousand Leagues Under the Sea) ของจูลส์ เวิร์นส์
(Jules Verne)
และกัปตันนีโมได้เห็นซากปรักหักพังของเมืองเห็นซากกำแพงเมืองและเสาหินต่างๆ ใต้ทะเล
และที่ประตูเมืองนั้นมีคำจารึกว่า “แอตแลนตีส”




นักวิจัยสหรัฐมั่นใจ
”แอตแลนติส” นครแห่งตำนานจมอยู่แถว “ไซปรัส”

รอยเตอร์/บีบีซีนิวส์/เอเอฟพี
– นักวิจัยสหรัฐเปิดเผยว่าได้ค้นพบ “แอตแลนติส”

เมืองแห่งอารยธรรมที่หายไปในห้วงทะเลลึกแถบไซปรัส พร้อมทั้
งโชว์ทฤษฎีการสำรวจที่น่าพิศวงมากว่าทศวรรษ
แต่นักฟิสิกส์เยอรมันแย้งพื้นที่บริเวณนั้นภูเขาไฟเคยพ่นหินละลายเมื่อ 1 แสนปีก่อน
หาใช่เมืองแห่งเพลโตไม่

โรเบิร์ต ซาร์แมสต์ (Robert
Sarmast) เปิดเผยว่า แอ่งทะเลเ
มดิเตอร์เรเนียน
(Medite
rranean)
ได้จมลงไปขณะน้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อประมาณ 1,900 ปีก่อนคริตศักราช
ทำให้บริเวณที่เชื่อว่าเป็นที่ตั้งของ “แอตแลนติส” (Atlantis) จมหายลงไปในคราวนั้น
เชื่อว่าจมลึกลงไปถึง 1 ไมล์หรือประมาณ 1.6 กิโลเมตรใต้ทะเลระหว่างไซปรัส (Cyprus)
และซีเรีย (Syria















                                                                                                                                        สิ่งที่
                                                                                                     "ซาร์แมสต์ " ค้นพบ โดยเชื่อว่าตำแหน่งสีแดง
                                                                                                                    คือที่ตั้งของแอตแลนตีส

”พวกเราพบมันแล้ว”
ซาร์แมสต์ ผู้นำคณะสำรวจที่ซอกแซกไปในทะเลกว่า 50
ไมล์ตามแถบชายฝั่งตอนใต้ของไซปรัสเมื่อช่วงต้นเดือนนี้
จากการสแกนฟังเสียงสะท้อนใต้น้ำลึกแสดงว่ามีสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นบริเวณหุบเขาที่จมน้ำ
รวมถึงกำแพงที่ยาวประมาณ 3 กิโลเมตร ซึ่งกั้นอยู่บนยอดเขาและมีคูลึกล้อมรอบอยู่ด้วย
โดยเชื่อว่าพื้นที่ดังกล่าวน่าจะเป็นตำแหน่งของวิหารแห่งเมืองแอตแลนตีส
อย่างไรก็ดีคงต้องมีการสำรวจต่อๆ ไปอีก

”พวกเราไม่สามารถหาหลักฐานที่จับต้องได้มาพิสูจน์ในรูป

แบบของเศษอิฐหรือปูนว่าเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่มนุษย์ทำขึ้นที่ฝังอยู่ในตะกอนใต้น้ำลึกลงไปหลายเมตร
แต่ว่าจากการสำรวจอย่างละเอียดและหลักฐานอื่นๆ
ทำให้เชื่ออย่างแย้งไม่ได้ว่าแอนแลนติสน่าจะอยู่ตรงนั้น” ซาร์แมสต์
เผย





แบบจำลอง
3 มิติที่ซาร์แมสต์ สร้างขึ้นเพืออธิบายที่มาที่ไปแห่งการค้นพบ

อย่างไรก็ดี
ขณะที่ซาร์แมสต์ได้เปิดเผยข้อค้นพบต่อสาธารณชน ณ เมืองท่าลิมาสโซล (Limassol)
เขายังได้นำภาพเคลื่อนไหวจำลอง “เนิน” ที่เชื่อว่าเป็นที่ตั้งของแอตแลนติส
โดยจินตนาการภาพย้อนหลังไปหลายศตวรรษ

ตามคำกล่าวอ้างของ
“เพลโต” (Plato) ปราชญ์ชาวกรีกโบราณ ระบุว่า แอตแลนตีสเป็นชนชาติที่อยู่บนเกาะ
ซึ่งได้พัฒนาอารยธรรมจนเจริญก้าวหน้าไปมาก อยู่ในช่วงระหว่าง 11,500 ปีที่แล้ว
ส่วนทฤษฎีที่พยายามอธิบายถึงเหตุผลแห่งการหายไปของอาณาจักรแอตแลนตีสนั้




นมีมากมาย
ไม่ว่าจะเป็นการเกิดกลียุค ด้วยโรคภัยจากธรรมชาติคุกคาม
หรือจากตำนานเทพเจ้ากรีกที่ระบุว่าชาวเมืองแอตแลนตีสมีความละโมบและกระหายอำนาจเข้าครอบนำเทพเจ้าจึงลงโทษด้วยการทำลายเมืองไปในที่สุด
นอกจากนี้ยังมีผู้สงสัยว่า
แอตแลนติสที่แท้จริงอาจจะเป็นแค่เพียงภาพฝันของเพลโตก็เป็นได้

ซาร์แมสต์
เปิดเผยว่า เขาเดินทางไปไซปรัสตามร่องรอยในบทสนทนาของเพลโต
ที่อ้างว่าแอตแลนตีสอยู่ตรงข้ามกับ พิลาร์ส ออฟ เฮอร์คิวลีส (Pillars of Hercules)
หรือ “เสาหินแห่งเฮอร์คิวลีส” ซึ่งเชื่อกันว่านั่นก็คือ “ช่องแคบยิบรอลตาร์”
(Straits of Gibraltar) นั่นเอง จึงทำให้นักสำรวจหลายๆ
คนมุ่งความสนใจไปที่มหาสมุทรแอตแลนติก ไอร์แลนด์ หรือ




อะซอเรส
(Azores) ของโปรตุเกส

”ผู้คนที่พลาดสิ่งเหล่านี้ไป
นั่นก็เพราะไม่ได้ทำการบ้านให้ถ่องแท้ ผู้ที่สงสัยใคร่รู้เรื่องนี้ต่างรู้ไม่จริง
ถ้าต้องการที่จะเข้าใจปริศนาลึกลับแห่งแอตแลนติก
คุณจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์โบราณ ข้ออ้างอิงทางศาสนา
วัฒนธรรมและร่องรอยของชาวสุเมเรียน (Sumerian)” ซาร์แมสต์เผย

และยังไม่ทันที่ซาร์แมสต์จะกลับไปฝันหวานกับข้อค้นพบของเขา
“คริสเตียน ฮูบเชอร์” (Christian Huebscher) นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน
จากศูนย์วิทยาศาสตร์ทางทะเลและบรรยากาศ ในฮัมบรูก
ก็ออกมาแย้งผ่านหนังสือพิมพ์เยอรมนีว่า
พื้นที่ที่ซาร์แมสต์พบนั้นเป็นปรากฏการณ์เมื่อ 100,00 ปีที่แล้ว
ที่ภูเขาไฟได้พ่นดินโคลนออกมา
ซึ่งเขาและเพื่อนร่วมงานชาวเนเธอร์แลนด์เคยเดินเรือไปสำรวจบริเวณที่ซาร์แมสต์ระบุว่าเป็นแอตแลนตีสมาก่อนแล้ว





ภาพถ่ายดาวเทียมจากนักสำรวจอังกฤษ
ที่เชื่อว่าแอตแลนติสอยู่ตรงทะเลแถบสเปน

ก่อนหน้านี้ได้มีความพยายามเกาะรอยคำกล่าวของเพลโตเช่นกัน
โดยนักสำรวจได้พุ่งเป้าที่ชายฝั่งของสเปน คิวบา และทางตะวันตกของเกาะอังกฤษ
ไม่เว้นแม้กระทั่งทะเลจีนใต้ โดยงานสำรวจที่เป็นชิ้นเป็นอันก่อนหน้านี้คือ
ภาพถ่ายดาวเทียมบริเวณอุทยานแห่งชาติดอนานาของเสปน (Donana) จากนักโบราณคดี
มหาวิทยาลัยเอดินเบอร์ก (University Edinburgh) ของอังกฤษ
ซึ่งภาพดังกล่าวได้พบสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่รูปสีเหลี่ยม 2 หลังจมอยู่ในโคลนใต้ทะเล
โดยพบโลหะที่มีรัศมีเป็นวงกลมและมีสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ล้อมรอบ
ทีมวิจัยในครั้งนั้นเชื่อว่าสิ่งก่อสร้างทั้ง 2 คือ
วิหารทองคำที่ชาวแอนแลนตีสสร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพโพเซดอน
และวิหารเงินเพื่อบูชาพระนางไคลโต
อันเป็นผู้ถือกำเนิดกษัตริย์ที่ปกครองนครแอตแลนตีส อย่างไรก็ดี
หลังจากการเผยแพร่ภาพถ่ายดาวเทียมออกไป
ก็ยังไม่มีใครได้ลองดำลึกลงไปขุดพิสูจน์พื้นที่ดังกล่าวแต่อย่างใด 

วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2554

รวมสถิติโลกสุดพิลึก! ใน "กินเนสบุ๊ก เวิลด์ เรคคอร์ด"

เดลิเมล์ - กินเนสบุ๊ก เวิลด์ เรคคอร์ด หนังสือรวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับสถิติต่างๆ เผยที่สุดของโลกฉบับปี 2012 จากทั่วทุกมุมของดาวเคราะห์ดวงนี้ ไม่ว่าจะเป็นใหญ่ที่สุด เล็กที่สุด มากที่สุด หรือน้อยที่สุด แต่ในจำนวนสถิติเหล่านั้น ยังมีที่สุด ซึ่งไม่ธรรมดายิ่งไปกว่านั้นอีกด้วย
น้องหมาที่กระโดดบนเชื่อกเส้นเดียวพร้อมกันมากที่สุด 13 ตัวจากคณะละครสัตว์ซูเปอร์ วาน วาน ในญี่ปุ่น ได้รับความสนใจ และชื่นชอบจากเด็กนักเรียนสาวๆ ได้ทุกหนแห่ง
สถิติโลกฉบับนี้ยังไม่ได้มีแค่เรื่องน้องหมา แต่เจ้าสตีวี ยังครองตำแหน่งแมวบ้านที่มีลำตัวยาวที่สุดในโลก ด้วยขนาดลำตัว 48.5 นิ้ว
ชาเนล แทปเปอร์ นักศึกษาสาววัย 21 ปี จากแคลิฟอร์เนีย ได้รับการยอมรับว่าเป็นคนที่มีลิ้นยาวที่สุดในโลกฝ่า ยหญิง โดยวัดได้ยาว 3.8 นิ้ว
ส่วนคริสติน วอลตัน วัย 45 ปี จากลาสเวกัส ผู้มีเล็บมือยาวรวมกันถึง 6.02 เมตร โดยเล็บมือซ้ายของเธอยาว 3.1 เมตร ส่วนเล็บมือขวายาว 2.92 เมตร ก็เอาตำแหน่งสถิติสตรีที่มีเล็บยาวที่สุดในโลกไปครอง
ขณะที่เอวิน ดูกัส สาวเก๋วัย 36 ปีจากนิวออร์ลีนส์ ซึ่งอวดอ้างว่าตัวเองมีผมแอโฟรตามธรรมชาติที่ใหญ่ที่ สุด ด้วยขนาดเส้นรอบวง 4 ฟุต 4 นิ้ว
นอกจากนี้ การแข่งขันไตรกีฬา ที่มีทั้งวิ่ง ปั่นจักรยาน และว่าย โดยต้องสวมหน้ากากดำน้ำไปด้วยนั้น สองพี่น้องเบนท์ แดเนียล และนาตาลีเป็นเจ้าของสถิติผู้ทำความเร็วที่สุดไป
ด้านมาร์ค ไบลส์ จากเมืองเคนต์ก็สามารถทำสถิติโลก โดยการปั้นหม้อดินได้มากที่สุดภายในเวลา 1 ชั่วโมง ถึง 150 ใบ
และจากทั้งหมดนี้ สถิติโลกที่เรียกน้ำย่อยได้มากที่สุดคือ พิซซ่าที่ทำออกมาขายในขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งกว้างถึง 54 นิ้ว จากร้านบิ๊กมาม่า แอนด์ ปาป้า พิซเซรี ในนครลอสแองเจลีส ที่มีมูลค่าเกือบ 5,900 บาท และสามารถเสิร์ฟคนได้ถึง 100 คน และแน่นอน ทางร้านมีบริการจัดส่งถึงบ้านด้วย
พวงชมพู is offline

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

สมุนไพรกับการรักษามะเร็ง

รศ.นพ.ชัยยศ ธีรผกาวงศ์ ภาควิชาสูติศาสตร์- นรีเวชวิทยา:บทความ
นิษฐ์ภัสสร ห่อเนาวรัตน์ :เรียบเรียง

หลายต่อหลายครั้งที่เห็นคน ไข้แล้วเศร้าใจ เพราะเหตุที่คุณผู้หญิงทั้งหลายหันไปรักษามะเร็งด้วย สมุนไพร มาเจอคนไข้อีกทีก็เข้าขั้นระยะรุนแรง หรือหมดทางเยียวยาแล้ว

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบ่อย ยิ่งมะเร็งที่เกิดในสตรี เช่น มะเร็งปากมดลูก ด้วยแล้ว หากรายไหนหมอบ่งชี้ว่า ควรจะรับการรักษาโดยวิธีรังสีรักษา ก็มักจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย ด้วยความเข้าใจผิดของผู้ป่วยนั่นเอง อยากจะบอกคุณผู้หญิงทั้งหลายว่า ผู้ที่เป็นมะเร็ง ไม่ได้แปลว่าตนจะต้องตายสถานเดียว ถ้าตรวจพบมะเร็งตั้งแต่ระยะแรกๆ สามารถรักษาให้หายขาดได้ครับ

การรักษามาตรฐานที่ใช้กันมี 3 วิธี คือ

1.การผ่าตัดรักษา เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก หรือมะเร็งรังไข่ ซึ่งวิธีการผ่าตัดก็หลากหลายแล้วแต่ชนิดของโรค

2.รักษาโดยยาเคมีบำบัด มักใช้ในโรคมะเร็งรังไข่ หรือมะเร็งชนิดอื่นๆ เพื่อช่วยกำจัดมะเร็งที่หลงเหลือจากการผ่าตัด หรือเพื่อกันการเกิดซ้ำของโรค โดยหมอจะพิจารณาการใช้ยาเคมีบำบัดอย่างไร ขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็ง ระยะของโรค และปริมาณมะเร็งที่หลงเหลือจากการผ่าตัดหรือขึ้นกับป ัจจัยอื่นๆ ของคนไข้

3.รักษาโดยรังสีรักษา ซึ่งในปัจจุบันอาจจะรักษาร่วมกับยาเคมีบำบัด ซึ่งได้ผลดีในการรักษามะเร็งปากมดลูก และเยื่อบุโพรงมดลูก อย่างไรก็ตาม ผลการรักษายังขึ้นกับระยะของโรค ถ้าเป็นระยะแรกโอกาสหายเกือบจะ 100% สำหรับภาวะแทรกซ้อนของการรักษานั้น พบน้อยมาก เนื่องจากเทคโนโลยีทางการแพทย์เจริญก้าวหน้าไปมาก ความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากภาวะแทรกซ้อนจึงแทบจะไม่ม ี

การ รักษาด้วยวิธีดังกล่าวถือเป็นการ รักษาโรคแผนปัจจุบัน ต้องผ่านการศึกษาวิจัยที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ หลักทางสถิติและทางวิทยาศาสตร์ มีการทดลองในหลอดแก้วและในสัตว์ พิสูจน์แล้วว่า ปลอดภัยและใช้ได้ผลในการรักษาจริง ก่อนจะนำมาใช้รักษากับผู้ป่วย โดยแพทย์ผู้ชำนาญการ อีกทั้งผลงานดังกล่าวยังได้รับการตีพิมพ์ในวารสารทาง การแพทย์ เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกด้วย
แต่สำหรับการใช้ยาสมุนไพรรักษามะเร็ง นั้น ยังไม่มีรายงานผลการรักษาที่เชื่อถือได้ชัดเจน มักพูดกันปากต่อปาก หรือเป็นไปตามกระแสข่าว ทำให้เกิดความหลงเข้าใจผิดไป ยิ่งกว่านั้นยาสมุนไพรบางชนิดยังผสมยาเคมีบำบัดเข้าไ ปด้วย อาจทำให้คนไข้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การกดไขกระดูกมากขึ้น และหากผู้ป่วยรักษาร่วมกับแผนปัจจุบันอีก อาจทำให้การรับยาไม่ได้ตามที่กำหนด จึงเกิดผลเสียในการตอบสนองต่อยาแผนปัจจุบัน และอาจทำให้การรักษาล้มเหลวในที่สุด

เข้าทำนองคิดผิดจนตัวตาย

--------------------------------------------------------------------------
ปีละครั้ง ทำบุญช่วยผู้ป่วยด้อยโอกาสเนื่องในวันมหิดล

เสาร์ 17 ก.ย.นี้ ขอเชิญชมรายการพิเศษ “วันมหิดล” ทาง ททบ.5 โดยปีนี้รูปแบบรายการเน้นให้ประชาชนดูแลตนเองและรู้เ ท่าทันโรค ชมเทปพระราชทานสัมภาษณ์สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เกี่ยวกับการเป็นผู้ป่วยของพระองค์ ญาติผู้ป่วย และการทรงงานเสด็จเยี่ยมหน่วยแพทย์ พอ.สว. ทั้งที่ประชวร รวมถึงพระอาการประชวรของในหลวง และสาระบันเทิงมากมายที่รอคุณอยู่ ชม และเชิญบริจาคพร้อมสอบถามปัญหาสุขภาพในรายการ รายได้ทั้งหมดจะนำไปสมทบทุนช่วยผู้ป่วยยากไร้และด้อย โอกาส รพ.ศิริราช อาทิ จัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์และสิ่งอำนวยความสะดวกที่เป็น ประโยชน์แก่ผู้ป่วย ที่ยังรอคอยน้ำใจจากคนไทยด้วยกัน เริ่มรายการ 22.30-24.20 น.

ขอบคุณที่มา : จันทร์เจ้าขา